วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

แต่เพียงผู้เดียว P-047 : ในห้องหัวใจ


หนังอาร์ต หนังติสต์ หนังเซอร์ หนังนอกกระแส หนังCult มันถูกจัดประเภทยังไง เราไม่รู้ แต่ที่เรารู้คือหนังประมาณนี้แหละที่ชอบดู แม้จะดูไม่รู้เรื่องเลยก็ตาม แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่ความว่างเปล่า


เล็ก ช่างทำกุญแจกับ ก้อง อดีตคนทำงานในกองถ่ายที่บังเอิญได้มารู้จักกัน ทั้งคู่ได้ก้าวเข้าไปในโลกของใครต่อใครหลายคน ใช้ชีวิตในโลกเหล่านั้นก่อนจะปดประตูแล้วเดินออกมา จนวันนึงได้ไปพบเข้ากับความลับที่เป็นความรัก



เล็ก แม้จะเป็นคนสร้างกุญแจให้ใครหลายๆคนได้เข้าไปในโลกของตัวเอง เขาใช้เวลาสำรวจในโลกของคนอื่นแต่สำหรับเขา ไม่มีใครรู้และเค้าเองก็ไม่เคยรับรู้การมีอยู่ของตัวตน แม้กระทั่งหญิงในฝันเขาก็ไม่เคยบอกใคร 



ก้อง เขาออกจากงานเดิม ในกองถ่ายด้วยเหตุผลว่า การทำหนังมันไม่จริง ก่อนจะมารับงานเป็นพนักงานขายหนังสือร้านข้างๆช่างทำกุญแจ เมื่อใดบทเพลงนั้นได้ล่องลอยมากระทบโสตประสาทเข้า ภาพของหญิงคนนั้นจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง และอีกครั้ง การได้เข้าไปใช้ชีวิตในโลกขงคนอื่นทำให้เขาได้รับรู้อะไรมากมาย โลกของเขา โลกของคนอื่น

เขามีความรักที่ต้องเก็บไว้เป็นความลับ ไม่ให้ใครรับรู้ แม้ใครคนนั้นจะมีอีกคนเคียงข้างอยู่แล้ว เขาเพียงต้องการอยู่ใกล้ รับรู้ความเป็นไป อยู่โดยไม่ร้องขอใดๆ


หญิงสาวที่ชอบสูดกลิ่นที่แอบอยู่ในกล่อง กล่องเหล่านั้นปิดบังอะไรเอาไว้ เธอมีความสุขกับการได้จินตนาการถึงของต่างๆที่เคยแอบซ่อนตัว นอนนิ่ง เงียบงันอยู่ภายใน 


นกยูง สีสันที่ปรากฏบนปลายขน ทำให้มันดูสวยงาม สง่า จนใครๆต่างหลงใหล ภายนอกมันดูเป็นเช่นนั้น แต่จะมีกี่คนที่รู้ว่าช่วงเวลาที่มันได้มีความสุขกับคู่รักมันช่างสั้นยิ่งนัก


หญิงสาวถือร่มสีขาว เสื้อสีชมพู ยืนรอรถไฟเทียบชานชาลา เธอกำลังจะไปที่ไหน ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่การปรากฏตัวของเธอทำให้ชายผู้ซึ่งไม่เคยมีจุดยืนได้เข้าใจถึงความรักซะที



ความรักกระจายอยู่ทั่วไปในอากาศและมันไม่ใช่แค่ของใครคนใดคนหนึ่ง ทุกคนสามารถมีไว้ครอบครองได้



Director Statement:คงเดช จาตุรัตน์รัศมี

"หากชีวิตคือการหยิบยืมเรื่องราวจากผู้อื่นมาต่อยอดชีวิตเราออกไป นำมาทำสำเนา หรือดัดแปลงจนเป็นของเรา และสุดท้ายก็ส่งต่อกันไปผ่านมือกันครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วจะหลงเหลือสิ่งใดที่เป็นของเรา.......... แต่เพียงผู้เดียว"



วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556

เช็คหนัง Summer เพิ่มความร้อน part 3



13.Kick-Ass 2
ระดับความน่าดู : 3/5

ถ้าคุณดูภาคแรกคุณจะยอมพลาดภาคสองนี้หรือ ระดับความน่าสนใจเรื่องนี้อาจมากขึ้นหากผู้กำกับยังคงเป็นมือฉมังอย่าง Matthew Vaughn จะสานต่อเรื่องราวโดยไม่ถอยร่นไปเป็น ผ.อ.สร้าง แล้วให้ Jeff Wadlow ขึ้นมากุมบังเหียนแทน เพราะถึงหนังจะถมโปรดัดชั่น เพิ่มเงินทุน นักแสดงเพิ่มอีกเพียบแต่เมื่อดูจาก Trailer แล้วกลับไม่มีเสน่ห์มากพอนอกจากฉากแอ็คชั่นที่อาจถูกใจคนกลุ่มใหญ่ แต่โดยรวมแล้วมันกลับขากเสน่ห์ไม่เหมือนอย่างที่เคยเป็น


14.The Lone Ranger
ระดับความน่าดู : 4/5

แม้ตัวอย่างที่ออกมาอาจไม่ดึงดูดมากนักเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆที่การตลาดดูจะล้ำหน้า(เสียวไส้แทน เพราะทิศทางการโปรโมตของค่ายดิสนีย์นั้นแย่เอามากๆ ไม่งั้น John Carter คงไม่เดี้ยงขนาดนั้น) แต่ต้องยอมรับว่าการกลับมาผนึกกำลังของผู้กำกับ Gore Verbinski แห่งผืนสมุทร Pirates of the Caribbean รวมทั้ง Johnny Depp และโปรดิวซ์เซอร์คนดัง Jerry Bruckheimer นั้นน่าสนใจ Pirates of the Caribbean อยู่ในสถานะใด The Lone Ranger คงไม่ต่างกันมากนัก

15.Despicable Me 2
ระดับความน่าดู : 4/5

เพราะภาคแรกไม่ใช่แค่สนุกแต่ยังดีในระดับล่ารางวัล ภาคต่อจึงได้รับการคาดหวังตามไปด้วย และจาก Trailer นั้นก็เรียกเสียงฮาได้เป็นอย่างดี หนังมาพร้อมกับทีนักแสดงพากษ์เสียงทีมเดิม เสริมทัพด้วย Al Pacino และ Kristen Wiig เมื่อพิจารณาแล้วหนังอะนิเมชั่นที่น่าจะทำกำไรที่สุดแห่งปีคงเป็น Despicable Me 2 นี่ล่ะ

16.Pacific Rim
ระดับความน่าดู : 5/5

ผละจาก The Hobbit มาทำหุ่นยนต์ฟัดสัตว์ประหลาด อาจเป็นความคิดที่ไม่ดีนักแต่เมื่อผลลัพธ์ออกมากลับผิดคาด Pacific Rim เป็นอีกหนึ่งหนังที่เชียร์ให้ประสบผลสำเร็จในทุกๆทาง Guillermo del Toro ผู้กำกับชาวเม็กซิโกไม่เพียงแต่ทำหนังออกมามีสไตล์ ลายเซ็นที่ชัดเจน แต่ยังผนวกเอาหลายๆสิ่งมาผสมผสานได้ย่างลงตัวโดยมีแรงบันดาลใจมากจากหนังสือการ์ตูนของญี่ปุ่น แม้นักแสดงอาจไม่คุ้นหน้าคุ้นตามากนัก แต่รับรองได้ว่าหนังเรื่องนี้มีของโชว์เพียบ 

17.R.I.P.D.
ระดับความน่าดู : 3/5

Ryan Reynolds ต้องมาเป็นคู่หูให้กับ Jeff Bridges เท่านั้นคงพอเรียกคะแนนได้ แถม Plot เรื่องยังน่าสนใจในระดับหนึ่ง แต่เมื่อปล่อย Trailer ออกมาหลายคนอาจตกใจร้องเสียงก้องบ้าน ด้วยความคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหน มันทำให้ลดระดับความน่าสนใจลงไปมากโข มาดูกันว่าท้ายสุดแล้วผลงานของผู้กำกับ Robert Schwentke จะเป็นการช่วยชีวิตนักแสดงหนมสุดหล่ออย่าง Ryan Reynolds ให้ฟื้นชีวิตหรือตอกฝาโลงให้จมลึกกว่าเดิม

18.The Wolverine 
ระดับความน่าดู : 4/5

ท่ามกลางหนังฮีโร่ตัวยักษ์ๆ อาจทำให้ใครหลายคนมองข้าม The Wolverine ไปอย่างน่าเสียดาย แต่เมื่อเอาเข้าจริงๆแล้ว หนังฮีโร่ที่ดูหนักแน่น จริงจัง และมีความเป็นสไตล์มากที่สุดเห็นจะเป็น The Wolverine เว่อร์ชั่นนี้ ที่พา Logan ไปถึงแดนปลาดิบ พิจารณาถึงตัวผู้กำกับอย่าง James Mangold เองก็ไม่ใช่คนที่ทำหนังห่วย ไม่แน่ท้ายที่สุดจ้าของคำชมจากนักวิจารณ์อาจเทมาที่ The Wolverine ก็เป็นได้ หากไม่มีอะไรผิดพลาด

19.
Elysium

ระดับความน่าดู : 4/5

หลังพีคสุดไปกับหนังใหญ่เรื่องแรก District 9  ผู้กำกับ Neill Blomkamp กลับมาอีกครั้งกับหนังที่ใหญ่กว่า ว่าด้วยโลกอนาคตที่แบ่งแยกคนจนและคนรวยออกอย่างชัดเจนโดยคนรวยอาศัยอยู่บน Elysium ทำให้คนบนโลกอย่าง Max De Costa ที่ต้องการเยียวยาชีวิตตัวเอง ดิ้นรนทำลายห่วงโซ่นี้ พิจารณาว่าหนังใช้เวลาคลอดนานมากเป็นที่น่าสังเกตว่า Elysium คงมีอนาคตที่ดีแน่นอน จาก Trailer เองนับว่าน่าดูไใช่น้อย ยิ่งได้นักแสดงเกรดเอตบแถวมาร่วมขบวนด้วยแล้ว คงต้องรอดู Trailer ใหม่ๆว่าจะทำให้น้ำย่อยทำงานได้ดีแค่ไหน

เช็คหนัง Summer เพิ่มความร้อน part 2




8.Man of Steel
ระดับความน่าดู : 5/5

ไม่ว่าจะชื่นชอบในตัว Zack Snyder มากน้อยเพียงใด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นผู้กำกับที่น่าจับตามองมากที่สุด หลังล้มไปกับแก็งค์ชะนีสาว Sucker Punch ทั้งการกลับมาครั้งนี้พร้อมกับฮีโร่บุรุษเหล็กอย่าง Superman ที่ทาง DC หมายหมั้นปั้นให้เป็นว่าที่ภาคต่ออันทรงคุณค่า ผนึกกำลังกับ Christopher Nolan ในฐานะผู้อำนวยการสร้างและจากทิศทางหนังที่เห็นได้จาก Trailer รวมทั้งการโปรโมตคลิบไวรัลต่างๆนั้น ทำให้ Superman เป็นหมัดเด็ดของซัมเมอร์ปีนี้ฟัดกับมนุษย์เตารีดอย่าง Iron Man ของทาง Marvel มากที่สุด

9.Much Ado About Nothing
ระดับความน่าดู : 3/5

จะสามารถเรียกว่า 'หนังเฉพาะกลุ่ม' ได้หรือเปล่า เพราะตัวผู้กำกับอย่าง Joss Whedon เพิ่งพีคสุดๆไปกับทีมฮีโร่เอาใจคนดูอย่าง The Avengers คราวนี้ขอมาจับหนังฟอร์มเล็กๆ ด้วยการนำงานเขียนของ วิลเลียม เชกสเปียร์ มาปัดฝุ่นขึ้นจอใหม่ คำชมจากนักวิจารณ์ที่เห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า เยี่ยม คงพอการันตีความยอดในที่นี้ได้ หากใครเบื่อๆหนังระเบิดภูเขา เผากระท่อม Much Ado About Nothing คงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในฤดูกาลนี้


10.Monsters University
ระดับความน่าดู : 3/5

หากเป็นเมื่อสาม สี่ปีก่อนชื่อของ Pixar คงเป็นอะไรที่ใครหลายๆคนไม่ลังเลที่จะเข้าไปอุดหนุน แต่พักหลังคุณภาพของหนังที่ขึ้นๆลงๆ ทำให้หลายคนเริมคิดหนัก และ Monsters, Inc. เคยเป็นหนังอันดับต้นๆที่มีคนรอคอยภาคต่อ แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ภาคต่อโดยตรงแต่ก็น่าจะทหให้ใครหลายๆคนพอใจในระดับหนึ่ง แน่นอนงานด้านภาพที่ได้รับการพัฒนาจนล้ำหน้าค่ายอื่นๆแต่จาก Trailer แล้ว ณ จุดนี้บอกเลยว่ายังธรรมดา สิ่งเดียวที่ทำให้มันยังคงน่าดูคือตัวอักษรคำว่า Pixar เล็กๆใต้โปสเตอร์ // บอกเลยว่าเราเป็นแฟนหนังของ Pixar และชื่อนชอบใน Brave มากและดีใจที่คว้าออสการ์ไปครอง แต่เมื่อได้ยลโฉมผู้ได้เข้าชิงเช่นกันแล้ว กลับมีข้อสงสัยในใจ


11.This Is the End
ระดับความน่าดู : 4/5

ความน่าสนใจในหนังเรื่องนี้คือการที่ดาราทั้งหลายต้องรับบทเป็นตัวเอง(?) หลังงานปาร์ตี้ที่พบว่าเกิดหายนะจากโลก จาก Trailer แล้วบอกว่าน่าดูมากๆ หนังอาจเป็นได้ทั้งมาตรฐานหนังตลก ล้อเลียนแห่งยุค หรืออาจเป็นตัวห่วยหลังออกฉาย แต่แนวโน้มน่าจะเป็นอย่างแรกซะมากกว่า เพราะดูจากเครดิตแล้วถือว่าเชื่อมือได้ แม้จะเป็นการกำกับครั้งแรกของ Evan Goldberg และหนุ่มร่างท้วม Seth Rogen ก็ตาม


12.World War Z
ระดับความน่าดู : 4/5

อาจดึงความสนใจไปที่ตัวหน้าหนังมากกว่านี้ หากไม่มีข่าวฉาวเบื้องหลังออกมาให้อกสั่น ขวัญแขวนเล่น ทั้งจากการที่ Brad Pitt ไม่ลงรอยกับผู้กำกับ Marc Forster เพราะ Brad ต้องการให้หนังมีทิศทางไปในโทนดราม่า ขณะที่ Marc อยากให้เป็นแอ็คชั่น เท่านั้นยังไม่พอในการถ่ายซ่อมปะรูพรุน ท้งคู่แทบไม่มองหน้ากันด้วยซ้ำและนั่นเป็นเหตุให้หนังต้องเลื่อนจากปลายปีก่อนมาเป็นช่วงซัมเมอร์นี้ ถึงจะเจอมรสุมหนัก จาก Trailer ที่ปล่อยออกมาก็ไม่ได้ขึ้เหร่ ซ้ำยังน่าสนใจในมากเลยทีเดียว แต่อย่าลืมว่าเดี๋ยวนี้หนังซอมบี้ก็หาความต่างได้ยากมากพอๆกับแวมไพร์ น่ะละ คงต้องรอดูว่าหลังออกฉายแล้วจะเป็นอย่างไร

>continued  part 3<

วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556

เช็คหนัง Summer เพิ่มความร้อน part 1




เห็นรายชื่อหนัง summer ปีนี้แล้วอดไม่ได้ที่จะจับหนังเหล่านั้นมาจัดเรียงไว้ว่าเรื่องไหนบ้างที่ควรดูในโรง หรือรอแผ่นที่บ้านโดยไม่ต้องนั่งกังวลว่าพลาดอะไรไป บทความนี่อาจช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปได้ง่ายขึ้น เรียงตามลำดับที่เข้าฉายเลยล่ะกัน


1.Iron Man 3 
ระดับความน่าดู : 5/5

แม้หนนี้จะเปลี่ยนมือผู้กำกับจากเดิม Jon Favreau เป็น Shane Black เจ้าของหนังตลกร้าย Kiss Kiss Bang Bang ก็ไม่ได้ทำให้ความน่าดูของหนังลดน้อยลงไปเลย เผลอๆหนังอาจได้ใจคนดูมากกว่าก็เป็นได้ สำหรับทีมงานที่เหลือยังคงกลับมาพร้อมหน้า พร้อมตาเสริมทัพด้วยตัวร้ายอย่าง The Mandarin ที่รับบทโดยนักแสดงมากความสามารถ Ben Kingsley โดยหนังสานต่อจากเหตุการณ์ใน The Avengers ไม่ต้องแปลกใจหาก Marvel จะมั่นใจในตัวหนัง และคาดว่าหนังคง ฮิตติดลมบน โกยเงินไปมากโขแน่นอน เฮีย Robert รับประกัน


2.The Great Gatsby
ระดับความน่าดู : 4/5

แฟนหนังของผู้กำกับ Baz Luhrmann คงไม่พลาดที่จะเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ เมื่อลุงแกหันมาจับหนังแนวถนัด ทั้งยังขนดาราเกรดเอมาเพียบ หลังล้มไม่เป็นท่าไปกับ Australia แต่ถึงกระนั้นกลุ่มคนดูเท่าไปก็มีหวั่นๆเพราะหนังเจอมรสุมที่มากเอาการเนื่องจากถูกย้ายโปรแกรมฉายจากปลายปีก่อนมาเป็นช่วงฤดูกาล Summer ของปีนี้ แต่จาก Trailer ที่ออกมานั้นมีสไตล์ หรูหรา มีระดับมากๆ อ่อ เกือบลืมหนังทำออกมาเป็นสามมิติด้วยนะ


3.Star Trek Into Darkness
ระดับความน่าดู : 5/5

มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ตีตั๋วเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ ผู้กำกับพลังงานสูงอย่าง J.J. Abrams ไม่เพียงแต่ฝื้นคืนชีพให้กับแฟรนไชส์ชุดนี้อย่างสมเกียรติเท่านั้น แต่ยังยกระดับให้ถึงคุณภาพในระดับหนึ่ง ทำให้เกิดสาวกเทรกเกอร์ใหม่ๆเพียบ ขณะที่แฟนดังเดิมก็ถูกใจกันไปมากมาย การกลับมาของเหล่าลูกเรือ USS Enterprise จึงเป็นอะไรที่ได้รับความคาดหวังอย่างสูง หนังจึงเพิ่มงบประมาณและจัดเต็มกว่าเดิม จาก Trailer ที่ออกมา ฟันธง เลยว่าหนังต้องได้ทั้งเงินทั้งคำชม อย่างท่วมท้น / ไม่งั้นคงไม่มาจีบให้ J.J. Abrams ไปทำ Star Wars หรอก


4.The Hangover Part III
ระดับความน่าดู : 3/5

เพราะนี่คือหนัง(ชุด)ตลกฮาสัปดน เอาใจขาใหญ่ที่ฮิตระเบิดระเบ้อที่สุดแห่งยุค เดิมทีใครจะกล้าพูดว่าหนังจะฮิตเซอร์ไพร์สได้มากถึงเพียงนี้ และในภาคก่อนหน้าหนังก็ทำเงินมากขึ้นกว่าต้นฉบับ คงไม่แปลกหากการกลับมาของก๊วน the Wolfpack ครั้งนี้หนังจะทำเงินในระดับเดียวกัน แต่ที่น่าสงสัยคือการเดินตามสูตรเดิมนั้น จะทำให้คนดูปลื้มมากน้อยแค่ไหน เท่านั้นเอง


5.Fast & Furious 6
ระดับความน่าดู : 4/5

จากหนังทุนต่ำกลายมาเป็นเจ้าของหนังแฟรนไชส์ที่มีแต่จะเพิ่มดีกรีระดับความมันส์และคุณภาพไปพร้อมๆกัน ด้วยการมาของผู้กำกับ Justin Lin ที่ยกมาตรฐานของหนังแนวเดียวกันให้สูงขึ้น Fast & Furious 6 จึงเป็นหนังแอ็คชั่นที่เหมาะจะดูในฤดูกาล Summer นี้อย่างไมม่ต้องสงสัย และแน่นอนที่สุดมันต้องทำกำไรให้กับ Universal อย่างมหาศาล

6.Epic
ระดับความน่าดู : 4/5

หากอ่านเรื่องย่อ บวกกับภาพในใจคงไม่มีอะไรให้น่าดูมากนัก แต่หากได้เจาะไปดูรายละเอียดแล้วหนังแอนิเมชั่นเรื่องนี้ดูจะมีราศรีมากที่สุดในปีนี้ นอกจาก Trailer ที่นำเสนอออกมาได้อย่างมีชั้นเชิง งานด้านภาพก็มีการพัฒนามากขึ้นแม้อาจไม่เท่าค่าย Pixar หนังสร้างจากวรรณกรรมเด็กชื่อ The Leaf Men and the Brave Good Bugs โดยหนังยังกำกับโดย Chris Wedge ผู้มีความชำนาญในการเอาใจคนดู ไม่เชื่อลองดูเครดิตลุงแกได้

7.After Earth
ระดับความน่าดู : 4/5

เหตุผลของการอยากดูและไม่ควรดูล้วนมาจากชื่อของผู้กำกับ M. Night Shyamalan ที่พักหลังผลงานดิ่งลงหวอย่างน่าใจหาย ทั้งยังได้รับการล้อเลียนจากคนดูอยู่เนืองๆ แต่กับ After Earth แล้วน่าจะเป็นผลงานที่ช่วยกู้ชื่อมากกว่าทำลาย(อีก) เพราะหนังมาด้วยนักแสดงพ่อ-ลูกแถวหน้าของฮอลลีวู้ดอย่าง Will Smith และ Jaden Smith แม้ถึงกระนั้นพล็อตเรื่องที่ว่าด้วยโลกหลังพบกับหายนะก็ถกเล่าออกมาอย่างมากมายจนไม่ใช่ของใหม่ คงต้องมาดูกันว่า Shyamalan จะนำเสนไปในทิศทางไหน


>continued  part 2<



วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

ว่าด้วย Smashed # เมา(รัก)หัวทิ่มบ่อ




"ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก 

สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน

ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป 

แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ"

"นิราศภูเขาทอง" # สุนทรภู่

บทกลอนที่คุ้นหูคนไทยเรามาตั้งแต่เด็ก ท่านบรมครูสุนทรภู่ท่านเขียนเอาไว้ จริงเท็จแค่ไหนหลายคนคงมีคำตอบในใจ


ในบรรดาภาพยนตร์ทั้งหลาย หนังรัก คือหนังที่เรานิยมชมชอบเป็นที่สุด ยิ่งเป็นหนังรักอินดี้ ยิ่งเข้าทางใหญ่อย่าง (500) Days of Summer ที่ไม่ใช่เพียงหนังรักที่ชอบที่สุดแต่เป็นหนังที่เรารักมากที่สุดอีก ยังมีอีกมากที่อยากแนะนำให้คอหนังรักได้ดู เช่น Juno, Up In The Air, Eternal Sunshine of the Spotless Mind, Once, Like Crazy, Nick and Norah's Infinite Playlist, Restless เป็นต้น



Smashed เป็นหนังอีกเรื่องที่ดูจบแล้ว พร้อมใจที่จะเก็บไว้ในหมวดหนังประทับจิต ประทับใจ ไม่รู้ลืม เพราะหนังมาพร้อมกับไอเดียที่แปลกใหม่ ว่าด้วยเรื่องสุราและมายารัก เมื่ออ่านจากชื่อเรื่องแปลไทยที่ฟังดูดีอย่าง "ประคองหัวใจไม่ให้เมารัก" คงเป็นคำนิยามที่เหมาะกับหนังเรื่องนี้จริงๆ



อะไรทำให้คนๆนึง ต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงชีวิต สำหรับเธอ Kate Hannah การติดสุราเรื้อรังทำให้ชีวิตของเธอค่อยๆพังทลายลง แม้ว่ารอยยิ้ม เสียงหัวเราะมักเกิดตามมาหลังแอลกฮอล์ลงคอก็ตาม จะโทษเธอก็ไม่ได้เมื่อคนรอบข้างเธอก็ไม่ต่างกันทั้งแม่ และ Charlie Hannah ชายคนรัก แม้เธอจะรักเขาสุดชีวิตแต่ก็ไม่น้อยไปกว่าที่เธอรักตัวเอง 



จนท้ายที่สุดค่ำคืนแห่งการเมามายกำลังค่อยๆทำลายชีวิตของเธอ เธอจึงต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงโดยการช่วยเหลือจากครูเพื่อนร่วมงานรองผู้อำนวยการที่เธอสอนอยู่ มันคงเรื่องง่ายอย่างที่เธอหวังหากแต่ชายคนรักของเธอก็ยังคงเมาอยู่เช่นเดิม คำว่ารักที่เธอได้ยินมันค่อยๆจางลงไป หากเธอต้องเลือกระหว่างชีวิตใหม่ลำพัง กับชีวิตเดิมๆที่มีเขาอยู่ข้างๆ



ในความคิดของเรา Smashed เป็นหนังที่ทำออกมาได้ดีมากๆ คุมโทนไม่ให้ดราม่า ฟูมฟาย หรือ ฟิลกู้ด จนเกินเหตุ แม้ว่าตอนจบจะทำให้ขอบตาร้อนผ่าวก็ตาม



เลิกเหล้านั้นไม่ยากเท่าเลิกรัก เชื่อเราสิ เราเคยลองมาแล้ว


วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556

Psycho "ว่าด้วยเรื่องโรคจิต"

Psycho (1960) หนังของผู้กำกับคนเก่ง Alfred Hitchcock คงไม่ต้องบอกว่ามันมีความดี ความชอบ ยังไงบ้าง



เรามีโอกาสได้ดูก็เมื่อวันก่อนและตัดสินใจว่าจะเขียนถึงหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ในแง่การวิจารณ์ เราไม่เก่งและไม่อาจเอื้อมขนาดนั้นแต่ขอจะพูดถึงมันในฐานะ ตัวแปร หนึ่งที่ทำให้เราได้คิดเรื่องคิดราวต่างๆ เกี่ยวกับ "โรคจิต"



หากมองอย่างเป็นกลางแล้ว ทุกคนต่างก็ โรคจิต ด้วยกันทั้งนั้น
เธอต้องสระผมก่อนอาบน้ำ
เขาชอบสั่นขาเวลานั่งเก้าอี้
เธอชอบเลียริมฝีปากก่อนที่จะพูด
เขาจะไม่เลียไอติมแต่ชอบกัด
เธอต้องซื้อของครั้งละมากกว่าหนึ่งชิ้น
เขาจะซื้อเฉพาะสินค้าราคาแพงที่สุดเท่านั้น



ใครๆก็โรคจิตด้วยกันทั้งนั้น ผมเองก็มีเรื่องโรคจิต เรื่องมากจนบางทีหวั่นวิตกไปว่าตัวเองอาจถึงขั้นบ้า ต้อหาจิตแพทย์ประจำตัวเข้าให้แล้ว




เมื่อมีอาการแปลกๆ จนเริ่มคิดว่า ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ แนวทางง่ายๆในการตรวจสอบคือมีอาการจิตหลอนไหม มีความคิดที่ผิดบ้าคลั่ง ฝังอยู่ในหัวรึเปล่า พฤติกรรม เปลี่ยนแปลงไปไหม หากเราหรือคนรอบข้างส่อแววก็ควรระมัดระวังไว้ เราคงไม่อยากกลายเป็นดาราจำเป็นในหนังสยองขวัญ ใช่ไหมล่ะ



แต่จะว่าไปเรื่องเหล่านั้น อาจเป็นเรื่องปกติ หากเทียบกับ พฤติกรรม ของคนที่ถูกเรียกว่า "โรคจิต" อย่างแท้จริง หนังและหนังสือส่วนมาก มักจะวาดภาพเอาคนโรคจิต เป็นอสูรร้าย ตัวโกง ที่แสนน่ากลัว แต่ในแง่มุมหนึ่ง เรากลับคิดว่าเป็นเรื่องน่าเศร้า เหมือนเด็กดาวน์ซินโดรมที่ไม่ได้อยากเป็น แต่บางสิ่งบังคับให้เค้าเกิดมาเป็นแบบนั้น



สาเหตุแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ดาวร้ายมากมายในโลกภาพยนตร์ ก็ทำให้เราตระหนักในข้อนี้ดี อย่าง Joker,Gollum,Hannibal ที่ขึ้นชื่อในเรื่องร้าย แต่ที่ผมหลงรักมากในเวลานี้คือ Norman Bates ผู้ชายคนนี้ ใครจะเชื่อว่าคือฆาตกรสองบุคลิก ใครๆอาจจะหวาดกลัว แต่เรากลับรู้สึกสงสาร เวทนากับชะตากรรมของตัวละครรายนี้



ขอพ่วงพูดถึงหน่อยคือ หมอสุธี จากหนังเรื่อง บอดี้ ศพ 19 ที่เล่นเอาเราถึงกับตกเก้าอี้เลย เมื่อบทสรุปเฉลยออกมา หมอโรคจิต ป่วยเป็นโรคจิต เล่นแบบนี้เลยเรอะ



พฤติกรรมสุ่มเสื่ยง ควรได้รับการจับตามอง ในขณะที่เราเสพข่าว ดูหนัง ฟังเพลง ตัวแปรเหล่านั้นอาจกำลังถูกฝังลงไปในใจเราทีละนิดๆ หวังว่าเราคงไม่ดูหนังจนเป็นบ้า หรือถ้าจะบ้าจริงๆ คิดกันไหมบางทีคนที่สร้างหนัง ทำเพลงเขียนข่าวให้เราอ่าน อาจเป็นโรคจิตก็ได้ คล้ายไวรัส ที่กระจายผ่านสื่อ



หรือใครจะเถียงล่ะว่า  Alfred Hitchcock น่ะ ลุงแกไม่ได้บ้า








วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2556

Spirited of 'My Girl: Fan Chan'

นี่ไง เพื่อนเกลอรูปเธอ "แฟนฉัน"



แฟนฉัน - วงชาตรี

' ความอิจฉา ' เป็นสิ่งที่ตัวเรามีอยู่อย่างเหลือเฟือ 

เราอิจฉาเด็ก ที่วันๆไม่ต้องมานั่งคิดเรื่องเรียน เรื่องเงิน เรื่องรัก เรื่องอาหารการกิน ไม่ต้องทำอะไรด้วยตัวเอง




เราอิจฉาเพื่อนๆที่นอนดึกตื่นสาย ได้อย่างไม่มีใครว่า แต่เราเนี่ยสิ ที่บ้านไม่ใช่ร้านขายของอะไรหรอก แต่ถึงกระนั้น เราก็มักจะถูกปลุกให้ติ่นตอน แปดโมง เสมอ ตั้งแต่เด็กแล้ว ต้องรับผิดชอบอะไรมากมาย



เราอิจฉาคนเรียนเก่ง เราพยายามที่จะตั้งใจเรียน แต่ดูเหมือนผลสอบออกมาทีไร มันเหมือนตอนที่เราไม่ได้ตั้งใจเรียน มันเหมือนเดิม มองไม่เห็นความแตกต่าง



เราอิจฉานก ดูมันโบยบิน แม้จะไม่มีรอยยิ้มบนหน้าของมัน แต่เราก็พอรู้ว่ามันมีความสุขที่ได้มองลงมายังเบื้องหลัง อิสระ คือสิ่งที่มันมีไว้ครอบครอง




เราอิจฉา หลายๆคน ที่มีความสุข เราเองไม่ใช่คนที่ชอบเก็บความทุกข์ แต่เราเป็นคนชอบหวัง หวังอะไร ไม่เคยสมหวังกะใครเขา เลยสักครั้ง หลังๆชักเริ่ม ปลง แต่ความสุขก็มาแวะเวียนมาไม่ถี่เท่าความทุกข์ จะไล่มันไป มันก็ไม่ยอม เอาว่ะ อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า เรายังหายใจ



ตอนเราเด็กๆ เรามีความสุขมากกว่านี้ จริงนะ เราจำมันได้ดี แต่ก่อนแถวบ้านเราจะมีรุ่นพี่ๆ อายุห่างกันประมาณสัก สี่ ห้า ปี เราเป็นน้องเล็กของกลุ่มพี่ๆ จึงเอาแต่ใจได้แล้วพี่ๆก็จะคอยดูแล เวลาเล่นอะไรพี่ๆก็มักจะยอมให้เราเป็นฝ่ายชนะ อยู่เสมอ ทุกวันจะมอมแมม เปื้อนคราบสกปรกจากการเล่นของเด็ก แถบชนบทจะรู้ดี ยิ่งสุดซอยบ้านเราจะเป็นทุ่งนากว้างสุดลูกหูลูกตา กิจกรรมต่างๆจึงมักถูกจัดขึ้นที่นั่น ตั้งแต่การเล่นซ่อนหา เล่นต่อสู้จำลองเหตุการณ์จากในหนังบ้าง ขุดดินหาตัวอะไรแปลกๆ ตอนเย็นๆก็จะมีฝูงวัวเข้าคอก พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าทำเอาท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้ม ปุยเมฆลอยฟ่อง สายลมเอื่อยๆ กลิ่นต้นไม้ หลายสิ่งเหล่านั้นมันยงคงอยู่ในความทรงจำ



แล้วความสุขเหล่านั้น มันหายไปตั้งแต่ตอนไหน - เราอยากมีน้อง เราเลยคะยั้น คะยอ ให้แม่เอาน้องมาให้ (ตอนนั้นไม่รู้ว่า น้อง เกิดจากอะไร คิดๆว่าคงเหมือนตุ๊กตา ไปซื้อที่ร้าน) แล้วเราก็มีน้อง นั่นแหละจุดเริ่มต้น ความรับผิดชอบ คือสิ่งที่มาพร้อมกับน้องชาย จากเด็กที่ไม่เคยคิดอะไรน้องจากเรื่องของตัวเอง เราต้องเริ่มคิดถึงชีวิตอื่นๆรอบตัว ขนมหนึ่งถุงต้องแบ่งให้น้องกิน ไอติมหนึ่งแท่งถ้ากินไม่พอต้องซื้อมาสอง คนละแท่งเลย กับข้าวถ้าไม่ทานให้น้อยลง ก็ต้องช่วยยายทำให้เพิ่มมากกว่าเดิม 



ช่วงที่ลำบากคือตอนที่น้องยังเล็ก พูดไม่รู้เรื่อง เอาแต่ร้องไห้ เราเองก็อยากร้องไห้แต่ทำไม่ได้ ของเล่นก็ไม่ได้เล่นเราต้องช่วยแม่เลี้ยงน้อง นอนก็ไม่ได้นอน เด็กน่ะอยากจะตื่นเมื่อไหร่ก็ตื่น ตีสามตีสี่ ร้องไห้แงๆ ส่วนเราก็ต้องตื่นตามไปด้วย เรียนหนังสือก็เบลอๆ แน่นอน อันดับคะแนนผมร่วงจนน่าวิตก แต่ตอนนี้น้องผมโตแล้ว แต่สิ่งที่มากับน้องเรายังคงอยู่ ความรับผิดชอบ ยิ่งน้องเราโตขึ้น ยิ่งรู้สึกต้องรับผิดชอบในตัวเค้ามากขึ้นไปอีก ทั้งๆที่อีกไม่กี่เดือนเราก็ต้องไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย ต่างจังหวัด ในใจก็เป็นห่วงน้องมันนี่แหละ แต่เมื่อปีก่อน น้าและอา ของเราพึ่งมีลูกคนแรก และเวลานี้แกก็มักจะพาลูกมาเที่ยวบ้านเราเป็นประจำบางที น้องของเราคงมีความรู้สึก อารมณ์เดียวกับเราตอนนั้นล่ะ ก็ทำไงได้ล่ะ มันเป็นวัฏจักร วงเวียนของชีวิต ยังไงเสีย วันนึงเราก็ต้องเริ่มรู้จักรับผิดชอบคนรอบข้าง-



หนังเรื่อง 'แฟนฉัน' มาในปีที่น้องเราเกิด โดยปกติแล้วเราจะอ้อนวอน ขอให้พ่อกะแม่พาไปดูหนังท่านก็จะไป แต่นี่ มันไม่ใช่ เราเลยต้องอด แถมการไปเล่นกับพี่ๆ ก็ดูจะเป็นเรื่องยากขึ้น วันนี้ ผ่านมานานแล้ว ความทรงจำเหล่านั้น เราหยิบ 'แฟนฉัน' มาดูอีกครั้ง แต่หากมันเป็นแค่หนังก็ดีสิ แต่กับผมมันเหมือน 'Time Machine' มากกว่า อดีต เหล่านั้นกลับมาหาเราอีกครั้ง 



แฟนฉัน ทำให้เรามีความกล้าที่จะตามหาความฝัน แม้ว่าวันนี้มันจะไปไม่ถึงจุดหมาย แต่เรายังพอมีโอกาส ปีหน้ายังมี คงไม่สานเกินไป




กลุ่มพี่ๆเหล่านั้น วันนี้จบมหาลัยกันหมดแล้ว ทำงานบ้างเป็นหมอ บ้างค้าขาย บ้างทำงานธนาคาร บ้างมีลูก ตามที่เวลาขีดเขียนอนาคต ส่วนเราก็รอแอดมิชชั่น ตอนนี้เครียดมากเลย แต่ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง ก็จะยอมรับมันให้ได้

เพื่อนๆเรา ที่ได้พบเจอ ที่ได้เรียนด้วยกัน ได้เล่นด้วยกัน วันนี้เราต่างก็เลือกทางเดินของตัวเอง บางคนไปได้ดี บางคนยังคลำหาทาง ต่างคนต่างเลือกทางที่ดีให้กับตัวเอง ความรู้สึกดีๆในวันนั้น ไม่นานจะกลายเป็นอดีต ให้เราได้รำลึก 



เราอิจฉา อิจฉาตัวเองในอดีต อิจฉาวันที่ยิ้มและหัวเราะ ได้อย่างมีความสุข ร้องไห้ได้อย่างไม่เกรงใจใคร แต่ในวันนี้จะยิ้ม จะหัวเราะทีเรื่องเล็กๆอย่างในวันวานกลายเป็นเรื่องแสนธรรมดา ไม่กระตุ้นต่อมฮาได้เลย แต่ต่อมน้ำตากลับทำงานได้เร็วกว่า แต่การร้องไห้ออกมาก็เป็นเรื่องยากพอๆกับการยิ้ม ตอนเด็กไม่ต้องสนใจว่าใครจะเป็นยังไงแค่รู้ว่าตัวเองยิ้มก็พอแล้ว แต่ตอนนี้ถ้าเรายิ้มคนรอบข้างไม่ยิ้มด้วยความสุขมันก็ไม่เกิดขึ้น เราแค่สงสัยว่า "ถ้าโตขึ้นกว่านี้ ความสุข มันจะลดลงน้อยมากแค่ไหน เราจะยังมีความสุขอยู่ไหม" 


แฟนฉัน แด่ความทรงจำใต้ลิ้นชัก