Billo
Baggins and the Thirteen Drafts
ผมชอบหนังไตรภาคชุด
The Lord of the Ring มากที่สุด ถึงขั้นคลั่งไคล้ ไม่ต่างจาก Harry Potter ผมกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นแฟนคลับเลยล่ะ
เพราะนอกจากผมจะตามดูหนัง
ตามดูนักแสดงที่ไปเล่นหนังเรื่องอื่นๆและนั่นทำให้ผมรู้จักซีรี่ย์น้ำดีอย่าง Sherlock
Holmes และการได้ครอบครองหนังสือชุดเดอะลอร์ด เดอะฮอบบิท ยกเว้นเล่มเดียวคือ
ตำนานแห่งซิลมาริลออน ที่ขาดตลาดไปเสียแล้ว
เมื่อปลายปีก่อนเดอะฮอบบิทภาคแรกได้เข้าฉาย
ไม่มีใครกล้าฟันธงว่ามันจะรุ่งจะร่วง หรือยังไง ท้ายสุดมันทำเงิน แม้คำวิจารณ์โดยรวมจะออกมาก่ำกึ่ง
แต่หากมองจากแฟนคลับแล้ว มันช่างเป็นอะไรที่ดีอย่างถึงที่สุด
เพราะแค่การได้เห็นตัวละครอันเป็นที่รักโลดแล่นมันก็เกินพอแล้ว
เดิมทีหนังวางแผนไว้ว่าจะทำออกมาเป็นสองภาคแต่ไปๆมาๆ
ไหงงอกมาเป็นไตรภาคก็ไม่ทราบได้(นับว่าเป็นเรื่องดี ต่อทั้งตัวผู้สร้างเองและกลุ่มแฟนคลับ)
ทั้งๆที่นิยายต้นฉบับมันไม่ได้มีให้เล่ามากขนาดนั้น
ซึ่งเป็นหน้าที่ของทีมเขียนบทที่ต้องขยายเรื่องราว ตัดแต่งเสริมดัด
(ส่วนหนึ่งอ้างอิงจากต้นฉบับภาคผนวกใน Return of the King)
ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องถูกค้านเพราะในขณะที่ The Lord นั้นยาวมากจนต้องตัดออกไปมากโข
แต่ The Hobbit ที่หนาไม่ถึง 350 หน้าด้วยซ้ำ กลับขยายซะยืดยาว
แต่เท่าที่ผมรู้สึกจากการดูทั้งภาคแรก และภาคสอง มันก็ย้วยๆจริงๆน่ะแหละ
จนบางครั้งหรือสึกว่ามันไม่มีอะไรมากไปกว่าการตะลุยด่าน ให้จบๆไป
ในภาคนี้
หนังเริ่มเรื่องราวต่อจากภาคแรกโดยไม่ต้องเสียเวลาไปทบทวนอะไร
ใครที่ไม่ได้ดูภาคก่อนหน้ามาก่อน แนะนำว่า ต้องดู และจะดีมากหากได้ดู The
Lord มาก่อนแล้วด้วย สำหรับเนื้อหาแล้วหนังเปลี่ยนจากต้นฉบับไปค่อนข้างมาก
หนังเพิ่มตัวละครเข้ามาอีกก็หลายตัวทั้งที่เคยเห็นและไม่เคยเห็น อย่าง เลกูลัส เอล์ฟหน้าเด้ง
ที่ในนิยายไม่ได้พูดถึง(แต่เรารู้กันอยู่แล้วว่าเขาเป็นบุตรชายของธรันดูอิล)
หรือเอล์ฟสาว เทาเรียล ซึ่งกลับกลายเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์มากที่สุดในเรื่อง
ในความคิดผม เผลอๆดูจะมากเสียกว่าตัวละครหลัก บิลโบ หรือ ธอริน ด้วยซ้ำไป
และพาร์ทความรักระหว่าง เทาเรียลกับคิลี นี่ล่ะที่ผมเทใจให้หนังเรื่องนี้
หนังพาเราไปผจญภัยยังดินแดนต่างๆอย่างบ้านของบีออร์น
ชายร่างยักษ์ผู้ซึ่งสามารถกลายร่างเป็นหมียักษ์ตัวเบอเริ่มได้
ป่าต้องคำสาปป่าเมิร์กวู้ด อาณาจักรเอล์ฟของธรันดูอิล ป้อมปราการของเซารอน หมู้บ้านทะเลสาบ
และหุบเขาโลนลี่ ที่อยู่ของเจ้ามังกรร้ายสม็อก
อิ่มครับ จุใจมาก แต่ละสถานที่ดูมีเน่ห์มากๆ โดยเฉพาะฉากการหลบหนีออกมาจาก
ตำหนักของธรันดูอิล ดูเพลินมากจริงๆ
แต่ถึงกระนั้นข้อเสียของหนังประเภทนี้คือมันดูสนุกก็จริงแต่สิ่งที่ขาดหายมักจะเป็นพัฒนาการของตัวละคร
นับว่าน่าเสียดาย โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของบิลโบกับธอริน
ที่น่าจะใช้ประโยชน์ได้มากกว่านี้
เพราะหากย้อนไปในฉากจบของภาคแรกเราจะเห็นถึงสายสัมพันธ์บางอย่างระหว่างตัวละครทั้งสองนี้ หรือตัวละครบางตัวก็ผลุบๆโผล่ๆ อย่าง บีออร์น
ซึ่งเขาจะกลับมาแน่ในภาคต่อไป แต่ก็ยังรู้สึกเสียดายไม่ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่ง
แกนดัล์ฟ ที่ไปๆมาๆ ซึ่งจะโทษใครก็ไม่ได้
เพราะในหนังสือตัวละครรายนี้ก็หายไปทำภารกิจเช่นกัน
แต่หนังก็ไม่ได้ทอดทิ้งให้นั่งดูตัวละครจากคอมพิวเตอร์สู้กันเหมือน
หนังหุ่นเหล็ก(ที่ลากมาสามภาคและกำลังคลอดภาคใหม่ออกมา) หรือ
พาไปดูวันโลกแตกเมื่อหลายปีก่อน เพราะอย่างน้อย
เรื่องตัวละครที่มากจนล้นคงเป็นเหตุผลหลักอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ กิลเลอเมอ เดล
โตโร ถอนตัวไป และ ปีเตอร์
แจ็คสันที่ลังเลใจในตอนแรกต้องกระโดดลงมากุมบังเหียนเองในตอนหลัง แต่ตัวละครในเรื่องก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน ถ้าไม่เชื่อลองถามตัวเองหลังดูจบ
ว่าเมื่อพูดถึง The Hobbit คุณนึกถึงอะไรเป็นอย่างแรก
พวกคนแคระหรือฉากอันวิจิตรตะการตา
และที่ผมอยากพูดถึงคือ
ระบบที่หนังใช้ในการถ่ายทำคือ High Frame Rate 48fps นี่มันชัดเป็นบ้าเลย
มันชัดมากจนเหมือนมันดูปลอมๆหลอกๆพิกล อันนี้คงแล้วแต่ว่าใครจะชอบ
ซึ่งก็ต้องใช้เวลานานเหมือนกันในการปรับสายตาให้ชิน
แต่สามมิติเรื่องนี้โอเคเลยนะผมว่า ดีกว่า Man of Steel เยอะเลย
เรื่องนั้นเสียดายกะตังค์มาก รู้งี้ดูแบบดิจิตอลธรรมดาๆก็ดี(ขอบ่นหน่อยเหอะ) อ่อ และการออกแบบตัวละครในเรื่องดูดีมาก โดยเฉพาะเจ้ามังกรสม็อก
ดูดีแบบสุด ทำให้นึกถึงเจ้ามังกรตาบอดในธนาคารกริงกอต์ในโลกเวทย์มนต์เลยล่ะ
โดยสรุปนี้เป็นหนังฟอร์มยักษ์ทิ้งท้ายปี
2013 ได้อย่างสวยงาม ใครที่เป็นแฟนหนังชุดนี้ คงไม่พลาด
ส่วนใครที่ยังไม่ได้ดู มีความรู้สึกนิดๆว่าอยากดู ไม่ต้องลังเลครับ
หนังยาวเกือบสามชั่วโมง ยังไงก็คุ้ม
และสำหรับผมนี่คืออีกหนึ่งหนังที่ขอเก็บไว้ในลิ้นชักหนังที่ชอบล่ะกันครับ
//ใครเห็นเครดิตชื่อของนายนักสืบเชอร์ล็อก
สุดหล่อ Benedict แล้วสงสัยว่า เค้าเป็นใคร หนึ่งในคนแคระหรือเปล่า คำตอบคือ
เค้ากลายร่างเป็นมังกรยักษ์นามสม็อก ที่กำลังจะเขมือบหมอวัตสัน เอ้ย! นายบิลโบ
หัวขโมยของเรานั่นล่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น