วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

The Hobbit: The Desolation of Smaug ; Billo Baggins and the Thirteen Drafts

                                                              Billo Baggins and the Thirteen Drafts



ผมชอบหนังไตรภาคชุด The Lord of the Ring มากที่สุด ถึงขั้นคลั่งไคล้ ไม่ต่างจาก Harry Potter ผมกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นแฟนคลับเลยล่ะ เพราะนอกจากผมจะตามดูหนัง ตามดูนักแสดงที่ไปเล่นหนังเรื่องอื่นๆและนั่นทำให้ผมรู้จักซีรี่ย์น้ำดีอย่าง Sherlock Holmes และการได้ครอบครองหนังสือชุดเดอะลอร์ด เดอะฮอบบิท ยกเว้นเล่มเดียวคือ ตำนานแห่งซิลมาริลออน ที่ขาดตลาดไปเสียแล้ว



เมื่อปลายปีก่อนเดอะฮอบบิทภาคแรกได้เข้าฉาย ไม่มีใครกล้าฟันธงว่ามันจะรุ่งจะร่วง หรือยังไง ท้ายสุดมันทำเงิน แม้คำวิจารณ์โดยรวมจะออกมาก่ำกึ่ง แต่หากมองจากแฟนคลับแล้ว มันช่างเป็นอะไรที่ดีอย่างถึงที่สุด เพราะแค่การได้เห็นตัวละครอันเป็นที่รักโลดแล่นมันก็เกินพอแล้ว



เดิมทีหนังวางแผนไว้ว่าจะทำออกมาเป็นสองภาคแต่ไปๆมาๆ ไหงงอกมาเป็นไตรภาคก็ไม่ทราบได้(นับว่าเป็นเรื่องดี ต่อทั้งตัวผู้สร้างเองและกลุ่มแฟนคลับ) ทั้งๆที่นิยายต้นฉบับมันไม่ได้มีให้เล่ามากขนาดนั้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของทีมเขียนบทที่ต้องขยายเรื่องราว ตัดแต่งเสริมดัด (ส่วนหนึ่งอ้างอิงจากต้นฉบับภาคผนวกใน Return of the King) ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องถูกค้านเพราะในขณะที่ The Lord นั้นยาวมากจนต้องตัดออกไปมากโข แต่ The Hobbit ที่หนาไม่ถึง 350 หน้าด้วยซ้ำ กลับขยายซะยืดยาว แต่เท่าที่ผมรู้สึกจากการดูทั้งภาคแรก และภาคสอง มันก็ย้วยๆจริงๆน่ะแหละ จนบางครั้งหรือสึกว่ามันไม่มีอะไรมากไปกว่าการตะลุยด่าน ให้จบๆไป



ในภาคนี้ หนังเริ่มเรื่องราวต่อจากภาคแรกโดยไม่ต้องเสียเวลาไปทบทวนอะไร ใครที่ไม่ได้ดูภาคก่อนหน้ามาก่อน แนะนำว่า ต้องดู และจะดีมากหากได้ดู The Lord มาก่อนแล้วด้วย สำหรับเนื้อหาแล้วหนังเปลี่ยนจากต้นฉบับไปค่อนข้างมาก หนังเพิ่มตัวละครเข้ามาอีกก็หลายตัวทั้งที่เคยเห็นและไม่เคยเห็น อย่าง เลกูลัส เอล์ฟหน้าเด้ง ที่ในนิยายไม่ได้พูดถึง(แต่เรารู้กันอยู่แล้วว่าเขาเป็นบุตรชายของธรันดูอิล) หรือเอล์ฟสาว เทาเรียล ซึ่งกลับกลายเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์มากที่สุดในเรื่อง ในความคิดผม เผลอๆดูจะมากเสียกว่าตัวละครหลัก บิลโบ หรือ ธอริน ด้วยซ้ำไป และพาร์ทความรักระหว่าง เทาเรียลกับคิลี นี่ล่ะที่ผมเทใจให้หนังเรื่องนี้  หนังพาเราไปผจญภัยยังดินแดนต่างๆอย่างบ้านของบีออร์น ชายร่างยักษ์ผู้ซึ่งสามารถกลายร่างเป็นหมียักษ์ตัวเบอเริ่มได้ ป่าต้องคำสาปป่าเมิร์กวู้ด อาณาจักรเอล์ฟของธรันดูอิล ป้อมปราการของเซารอน หมู้บ้านทะเลสาบ และหุบเขาโลนลี่ ที่อยู่ของเจ้ามังกรร้ายสม็อก  อิ่มครับ จุใจมาก แต่ละสถานที่ดูมีเน่ห์มากๆ โดยเฉพาะฉากการหลบหนีออกมาจาก ตำหนักของธรันดูอิล ดูเพลินมากจริงๆ  แต่ถึงกระนั้นข้อเสียของหนังประเภทนี้คือมันดูสนุกก็จริงแต่สิ่งที่ขาดหายมักจะเป็นพัฒนาการของตัวละคร นับว่าน่าเสียดาย โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของบิลโบกับธอริน ที่น่าจะใช้ประโยชน์ได้มากกว่านี้ เพราะหากย้อนไปในฉากจบของภาคแรกเราจะเห็นถึงสายสัมพันธ์บางอย่างระหว่างตัวละครทั้งสองนี้  หรือตัวละครบางตัวก็ผลุบๆโผล่ๆ อย่าง บีออร์น ซึ่งเขาจะกลับมาแน่ในภาคต่อไป แต่ก็ยังรู้สึกเสียดายไม่ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่ง แกนดัล์ฟ ที่ไปๆมาๆ ซึ่งจะโทษใครก็ไม่ได้ เพราะในหนังสือตัวละครรายนี้ก็หายไปทำภารกิจเช่นกัน  แต่หนังก็ไม่ได้ทอดทิ้งให้นั่งดูตัวละครจากคอมพิวเตอร์สู้กันเหมือน หนังหุ่นเหล็ก(ที่ลากมาสามภาคและกำลังคลอดภาคใหม่ออกมา) หรือ พาไปดูวันโลกแตกเมื่อหลายปีก่อน เพราะอย่างน้อย เรื่องตัวละครที่มากจนล้นคงเป็นเหตุผลหลักอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ กิลเลอเมอ เดล โตโร ถอนตัวไป และ ปีเตอร์ แจ็คสันที่ลังเลใจในตอนแรกต้องกระโดดลงมากุมบังเหียนเองในตอนหลัง แต่ตัวละครในเรื่องก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน  ถ้าไม่เชื่อลองถามตัวเองหลังดูจบ ว่าเมื่อพูดถึง The Hobbit คุณนึกถึงอะไรเป็นอย่างแรก พวกคนแคระหรือฉากอันวิจิตรตะการตา



และที่ผมอยากพูดถึงคือ ระบบที่หนังใช้ในการถ่ายทำคือ High Frame Rate 48fps นี่มันชัดเป็นบ้าเลย มันชัดมากจนเหมือนมันดูปลอมๆหลอกๆพิกล อันนี้คงแล้วแต่ว่าใครจะชอบ ซึ่งก็ต้องใช้เวลานานเหมือนกันในการปรับสายตาให้ชิน แต่สามมิติเรื่องนี้โอเคเลยนะผมว่า ดีกว่า Man of Steel เยอะเลย เรื่องนั้นเสียดายกะตังค์มาก รู้งี้ดูแบบดิจิตอลธรรมดาๆก็ดี(ขอบ่นหน่อยเหอะ)  อ่อ และการออกแบบตัวละครในเรื่องดูดีมาก โดยเฉพาะเจ้ามังกรสม็อก ดูดีแบบสุด ทำให้นึกถึงเจ้ามังกรตาบอดในธนาคารกริงกอต์ในโลกเวทย์มนต์เลยล่ะ



โดยสรุปนี้เป็นหนังฟอร์มยักษ์ทิ้งท้ายปี 2013 ได้อย่างสวยงาม ใครที่เป็นแฟนหนังชุดนี้ คงไม่พลาด ส่วนใครที่ยังไม่ได้ดู มีความรู้สึกนิดๆว่าอยากดู ไม่ต้องลังเลครับ หนังยาวเกือบสามชั่วโมง ยังไงก็คุ้ม และสำหรับผมนี่คืออีกหนึ่งหนังที่ขอเก็บไว้ในลิ้นชักหนังที่ชอบล่ะกันครับ



//ใครเห็นเครดิตชื่อของนายนักสืบเชอร์ล็อก สุดหล่อ Benedict แล้วสงสัยว่า เค้าเป็นใคร หนึ่งในคนแคระหรือเปล่า คำตอบคือ เค้ากลายร่างเป็นมังกรยักษ์นามสม็อก ที่กำลังจะเขมือบหมอวัตสัน เอ้ย! นายบิลโบ หัวขโมยของเรานั่นล่ะ

   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น