จากตัวอย่างหนังก็สร้างความอยากดูให้กับผมเป็นอย่างดี แม้หนังจะมีข่าวคราว่ามีการปรับแก้รายละเอียดเบื้องหลังหลายอย่างจนอดหวั่นไม่ได้
หนังสร้างจากนิยายมีความท้าายอยู่ในตัว ยิ่งกับเร่องนี้ความแปลกของตัวนิยายคือมันไม่ใช่เรื่องราวที่เล่าจาก 1 ไป 2 แต่มันเป็นเหมือนบทสัมภาษณ์ผู้คนตามแต่ละมุมโลก ส่วนตัวหนังนั้นอาศัยรายละเอียดบางส่วนจากนิยาย โดยวางเรื่องให้เป็นการสืบสวนของตัวละครเพื่อหยุดยั้งการระบาดของเชื้อร้าย โดยที่พระเอกของเรา Gerry ต้องละทิ้งครอบครัวเพื่อช่วยโลกไว้ โดยหนังพาไปเกือบทั่วทุกมุมโลกแต่มันก็มีเหตุผลไม่เหมือนเกมตะลุยด่านใน 2012 ที่ยัดเยียดCGแบบเห็นๆ หนังมาในโหมดเดียวกับ 28 Days Later และ I Am Legend คือตัวละครเดี่ยวท้าลุยโลก เพียงแต่ WWZ นั้น เน้นหนักทางด้านบันเทิงมากกว่า หนังแทบไม่ลงลึกรายละเอียด ดราม่าฟูมฟาย ฉะนั้นแล้วตลอดทั้งเรื่องจึงมีฉากน่าหวาดเสียวให้ตื่นเต้นอยู่เป็นระยะ และแต่ละฉากนั้นก็ล้วนแล้วแต่มอบความบันเทิงได้เป็นอย่างดีตั้งแต่ฉากความวุ่นวายบนถนนในฟิลาเดเฟีย ไปจนถึงฉากสุดท้ายในห้องแล็ป ฉากอินโทรเรื่องก็ดูเก๋ไม่ใช่น้อย แต่ก็อย่างว่าเมื่อหนังไม่ได้ลงลึกอีกทั้งตัวละครอื่นๆที่ไม่ใช่ Gerry จึงซีดหายไปเป็นเพียงวอลล์เปเปอร์ แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวละครเหล่านั้นสร้างภาระมอบความรำคาญให้แก่คนดู
Brad Pitt สร้างตัวละคร Gerry ออกมาได้ตามแบบมาตรฐาน ทั้งๆที่ตัวละครตัวนี้สามารถไปได้ไกลกว่านี้ เข้าใจว่าหนังเลือกด้านบันเทิงจึงน่าเสียดายที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ช่วยให้เครดิตคุณพี่แกมากเท่าใดนัก นอกจากมันจะทำเงิน ทำเงิน และก็ทำเงิน
ทางด้านโปรดักส์ชั่น ส่วนตัวแล้วชอบนะ เพราะอย่างช่วงๆแรก หนังจะมาแบบขาใหญ่มาก และช่วงท้ายหนังเล่นกับสถานการณ์ที่แคบลงและน่าหวั่นพรึงมากขึ้น จนสุดท้ายมันเป็นฉากที่ดูดีและพีค โดยไม่ต้องพึ่งกระบวนการ CGI แต่เมื่อหนังออกมาเป็นเรต PG-13 สิ่งที่ควรจะพีคและโหดได้มากกว่านี้มันเลยยังเทียบไม่ได้กับหนังซอมบี้เรื่องอื่นๆที่ดูหนักกว่า เเน่นกว่า
WWZ ไม่ได้เป็นหนังขายไอเดียแต่หนังขายความบันเทิง และขายได้อย่างดีซะด้วย สำหรับผม WWZ ออกจะดูมีราศรีดีกว่า Evil Dead ซะอีก และเป็นความประทับใจเล็กๆในช่วงซัมเมอร์นี้ แต่อย่างว่าปีนี้ซอมบี้ผมเทใจให้ Warm Bodies หมดแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น