วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

My Favorite Movies หนังบางเรื่องที่ฉันรัก

ตามประสาคนดูหนังแล้ว เรามักจะแอบจัดลิทส์หนังที่เราชอบไว้ อาจด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง สำหรับตัวผมแล้ว อันดับต่างๆบางทีก็มีการเลื่อนขึ้น เลื่อนลง ไม่เป็นระเบียบแบบแผน หรือมั่นคงมากนัก เว้นเสียแต่สี่อันดับแรก ที่มันคงอยู่แบบนี้มานาน สามปีแล้ว ซึ่งก็คงจะอยู่แบบนี้ไปอีกพักใหญ่ วันนี้ รู้สึกอยากลองจัดอันดับหนังที่ตัวเองชอบไว้เล่นๆ เพื่อว่า วันข้างหน้าได้้กลับมาอ่าน และอีกอย่างหนึ่งก็เพื่อให้ขาจรที่บังเอิญผ่านมาแถวนี้ มีโอกาสลองหาหนังเหล่านี้มาดู

My Favorite Movies


1.    (500) Days of Summer
เหตุการณ์ที่ทำให้ผมได้ดูหนังเรื่องนี้คือ ผมเดินเข้าไปในร้านเช่าหนังที่ผมเป็นสมาชิกอยู๋ ซึ่งการแวะเวียนไปทุกๆสัปดาห์ทำให้ผมกับเจ้าขอร้าน ค่อนข้างจะคุ้นเคยกันในระดับหนึ่ง เจ้าของร้านเป็นหญิงวัยกลางคนร่างไม่สูงนัก สวมแว่น แกแนะนำหนังเรื่องนี้ให้กับผม ตอนนั้นผมก็ยังด้อยประสบการณ์ด้านการดูหนังอยู่ค่อนข้างมาก คือยังหลงอยู่กับพวกหนังแมส กระแสหลักอยู่ ก็หยิบมันมาด้วยความรู้สึกที่ว่า 'อย่างน้อย ฉันก็มีอะไรทำแล้วล่ะในบ่ายวันเสาร์ที่จะถึงนี้' แต่ใครจะไปรู้ว่าการได้ดูหนังเรื่องนี้จะเปลี่ยนชีวิตผมไปค่อนข้างมาก ตั้งแต่การให้ความสนใจตึกราม บ้านช่อง (ช่วงเวลานั้นคืออยากเรียนสถาปัตย์เลยล่ะ) เข้าใจแง่มุมของความรักที่ไม่จำเป็นต้องยึดติด ไปจนถึงการได้หนังอันดับหนึ่งในใจไว้อวดใครเขา ผมไม่รับประกันว่าคุณจะชอบมันมาก เท่าๆที่ผมรู้สึกไหม แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่า คุณจะไม่เกลียดมัน

   

2. 5 Centimeter Per Second
อาจเป็นความบังเอิญเพราะหนังที่ผมชอบดันขึ้นต้นด้วยเลข 5 หนังเรื่องนี้ หรือถ้าจะเรียกให้ถูก อะนิเมชั่นเรื่องนี้ ผมได้ดูครั้งแรกจากคลิปที่ถูกโพสต์ไว้ใน Mthai ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จะอธิบายนอกจากคำว่า ผมบังเอิญคลิกเข้าไปดู เท่านั้นแหละ อะนิเมชั่นสั้นๆความยาว ไม่มากไม่น้อยไปว่า หนึ่งชั่วโมง ผมไม่เคยคาดคิดว่ามันจะอิมแพคผมไปนานเกือบสามวันเต็มๆ อาการหลังดูจบไม่ต่างจากคนอกหัก จนคนรอบข้างยังต้องร้องทักเพื่อไต่ถาม ผมค่อนข้างเซนซิทีฟเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ผมเป็นคนที่ค่อนข้างแพ้ทางหนังรักอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่า อะนิเมชั่น หรือ การ์ตูน มันจะสามารถทะลุทะลวงใจได้มากขนาดนี้ ภาพสวยจับใจ เพลงประกอบที่เข้ากันอย่างลงตัว มันทำให้ผมต้องไปตามหาแผ่นแท้เรื่องนี้มาครองไว้ในที่สุด อ่อ รวมทั้งตัวนิยายด้วย


3.    Up in The Air
ผมชอบผู้กำกับคนนี้ครับ ซึ่งนั่นรวมถึง Juno และ Young Adult ด้วย แต่ที่โดนสุดๆต้องเรื่องนี้ครับ สารภาพว่าครั้งแรกที่ได้รับชม รู้สึกชอบตามธรรมดาที่ควรจะชอบ แต่พอได้ดูครั้งที่สองในวันที่ฝนตกปรอยๆ อากาศหนาวๆจนต้องดึงผ้าห่มมาคลุมตัว โอ้โห น้ำตามาเต็มครับ ในฉากนั้นของเรื่อง ผมว่ามันเป็นหนังดราม่าที่หนักมาก แต่ด้วยการนำเสนอที่มาในหนังฟิลกู้ดมันให้อารมณ์ที่ค่อนข้างคอนทรานส์กัน แต่ลงตัวทุกอย่างโดยเฉพาะการแสดงของนักแสดงนำที่หมดจดจริงๆ ฉากหนึ่งที่ผมชอบมากคือฉากงานแต่งงานน้องสาวพระเอก ไม่รู้ว่าทำไมแต่เพลง Help Yourself ที่เปิดขึ้นมามัน ดูดีมากๆ ยังไม่นับตอนจบ ที่อยู่ๆก็กลายเป็นความอ้างว้าง เปลี่ยวเหงา ท่ามกลางหมู่มวลเมฆต่างจากมุมองตอนเริ่มเรื่องอย่างสิ้นเชิง


4.    Eternal Sunshine of Spotless Mind
Plot เรื่องที่มาแบบเหนือเมฆ บวกกับการนำเสนอที่จัดจ้านได้ใจ มีหรือที่จะไม่ชอบ หนังเรื่องนี้ถูกแนะนำโดยชายคนหนึ่ง ทาง Facebook ซึ่งเขาบอกกับผมว่าหากจะเริ่มดูหนังที่ต้องอาศัยสมาธินิดนึง บวกกับการตีความ ลองใช้เรื่องนี้เป็นกุญแจไขประตูโลกภาพยนตร์ให้กว้างขึ้น และผมก็หามันมาได้จริงๆ  ผมจำรายละเอียดไม่ค่อยได้ ดูจบก็ไม่ได้รู้สึกมากอย่างที่มันควรจะเป็น ร้องไห้ตามระเบียบ แต่ทำไม ยิ่งผ่านไป ยิ่งรู้สึกว่าหนังมันค่อยๆซึมลึกลงไป ลึกเรื่อยๆๆ จนท้ายสุดมันขึ้นมาอยู่ในใจ และทุกวันนี้หากมีใครมาขอให้ผมแนะนำหนังขั้นกว่า ผมก็ยินดีที่จะบอกว่า ลองรับหนังเรื่องนี้ไว้ชิมดูสิ


5. The Graduate
ผมได้ยินชื่อหนังเรื่องนี้ครั้งแรกจากเรื่อง (500) Days of Summer ก่อนจะพบว่า The Graduate ยังคงปรากฏให้เห็นในหนังอีกหลายๆเรื่องอาทิ Young Adult, The Complicated เป็นอย่างน้อย สร้างความสงสัยใคร่รู้ให้แก่ผมเป็นอย่างมากว่าหนังเรื่องนี้ มีดีอะไร? ถ้าผมเกิดในยุคที่หนังเรื่องนี้เข้าฉาย ยุคที่หนังเรื่องนี้ยังสดยังซิง มันจะกลายเป็นหนังอันดับ 1 ในใจผมอย่างแน่นอน ผมลองหาข้อมูลเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ถึงได้รู้ว่ามันได้สร้างอะไรใหม่ๆอย่างการใช้เพลงมาประกอบในหนัง Sound of Silence เป็นต้น ถึงไม่รู้เรื่องอะไรเทือกนั้น ผมก็ค้นพบด้วยตัวเองถึงความแปลกใหม่ เมื่อเทียบกับทุกวันนี้มันก็ยังดูดี เนื้อหาหนังพูดถึงชายหนุ่มที่พึ่งได้รับปริญญาใบแรกในชีวิต เขากำลังจะมีงานฉลองในความสำเร็จอันหอมหวานแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่คิดเช่นนั้น เขาตั้งคำถามเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง 

ต่อมาเขาดันได้ไปมีอะไรกับหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ ซึ่งก็คือเพื่อนของพ่อแม่เขาอีกทีนั่นแหละ ชีวิตที่ดูเหมือนจะรุ่งกับเปลี่ยนไป พฤติกรรมของเขาค่อยๆเปลี่ยนไป กระทั่งได้เจอกับลูกสาวของหญิงที่เขานอนด้วย (ตายห่าล่ะ กะจะฟัดทั้งแม่ทั้งลูก!) เขาจะทำยังไงกับชีวิตของเขาดี โดยเนื้อหาในหนังนั้นค่อนข้างหมิ่นเหม่ ศีลธรรม อยู่ไม่น้อย ก่อนจะตอกย้ำประเด็นนี้ด้วยฉากท้ายเรื่องที่ตัวละครใช้ไม้กางเขนกั้นประตูโบสถ์เอาไว้แล้วขโมยเจ้าสาวมาจากงานวิวาห์ เท่านั้นน่าจะสาแก่ใจผู้กำกับแล้ว แต่เปล่าเลย เมื่อทั้งคู่หนีรอดมาและขึ้นรถบัสได้แล้ว ทั้งสองหัวเราะร่วน มีความสุข แต่แล้วใบหน้าของเขาทั้งคู่ก็ค่อยๆนิ่งเฉย คล้ายกับว่า แล้วเราจะทำอะไรต่อไปดีหนังเรื่องนี้ส่งผลให้ผู้กำกับคว้ารางวัลออสการ์ไปนอนกอด ก่อนจะเผยความในใจว่า ที่คุณๆต่างตีความไปนะ ผมไม่รู้เรื่องเลย อย่างฉากไม้กางเขนผมแค่เห็นว่ามันใช้กั้นประตูได้ หรืออย่างฉากจบนะ ผมแค่ปล่อยกล้องทิ้งเอาไว้ไม่ได้สั่ง cut ก็เท่านั้นเอง   เอ้า! เป็นงั้นไป แต่หากว่าคุณมีรสนิยมทางการดูหนังคล้ายๆผม ผมอยากให้คุณหาหนังเรื่องนี้มาชมให้ได้ ไม่ต้องเชื่อผมทั้งหมด ลองสัมผัสด้วยตัวคุณเอง คำเตือน หนังเรื่อง The Graduate นี้ควรดูสองรอบเป็นอย่างน้อย


6.2046
ผมใช้เวลาทั้งฤดูร้อนในปี 2011 หมดไปกับการทำความรู้จักชายชาวไต้หวันที่มีชื่อว่า หว่อง คาไหว เรื่องแรกที่ทำให้ผมจดจำเขาได้คือ Happy Together ซึ่งผมตามหาหนังของเขามาดูเท่าที่จะพอหาได้ ซึ่งรวมๆแล้วก็มากพอตัวเลยทั้ง 2046, Days of Being Wild, Chungking Express, Fallen Angels, In the Mood for Love, Blueberry Night รวมทั้งหนังเรื่องใหม่อย่าง ซึ่งทุกเรื่องล้วนแล้วแต่เป็นความทรงจำที่ดีมากๆ แต่ถ้าผมต้องเลือกแล้งล่ะก็ต้อง 2046 ครับ  มันไม่ใช่ผลงานที่ดีที่สุดของเขา(ส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า In the Mood for Love ดีที่สุด)แต่เป็นผลงานที่ผมชอบที่สุด มันเป็นการรวมทุกสิ่งอย่างที่เราเคยเห็นและคุ้นเคยในตัวของเขามารวมไว้ในหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ตัวละคร ไปจนถึงฉากหลังของท้องเรื่อง หนังยังมีกลิ่นอายแฟนตาซีที่อินดี้มากๆแฝงเอาไว้ มันเป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไปที่จะดูหนังเรื่องนี้ แต่ใครที่เป็นแฟนหนังของเขาแล้วล่ะก็ ยิ่งกว่าความบันเทิงครับ 


7. Beginners
ผมจำได้ว่าช่วงนั้น ผมอยากดูหนังตลก และดูจากหน้าปกที่ให้ตัวละครมายืนหัวเราะร่า มันน่าจะตลกดีไม่น้อย บวกกับการได้เป็นติ่งของ Ewan แล้ว ทำให้ผมอยากดูหนังเรื่องนี้มากๆ แต่เปล่าเลย ผมคิดผิดทั้งหมด ทั้งเรื่องที่ว่ามันจะตลก จะฮา หนังมาในอีกอารมณ์หนึ่งที่ผมชอบมากกว่านั่นคือ หนังพูดถึงความรัก ซึ่งสร้างมาจากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้กำกับ หลายคนมองว่าแบบนี้มันต้องabstractแน่ๆเลย เหมือน Tree of Life ไม่หรอกครับ หนังเรื่องนี้ใกล้ชิดกับคนดูมาก ทุกอย่างในหนังเรื่องนี้ดูดีมาก โดยเฉพาะนักแสดง ทุกคนเคมีเข้ากันมาก และนั่นทำให้ขาใหญ่ของเรื่องคว้าออสการ์สมทบชายไปครอง


8. Thelma and Louise
ผมชอบหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่ามันเป็นหนัง Road Movie ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยสัมผัสมา อีกทั้งแตกต่างจากหนังทั่วไปที่ผมเคยดู มันเป็นหนังรักที่แมนมาก ทั้งๆที่ตัวเอกของเรื่องเป็นสองเพื่อนสาว ที่ออกเดินทางด้วยเหตุผลที่ต่างกัน(เปล่าครับ ไม่ใช่ หนีตามกาลิเลโอ) ก่อนที่ชีวิตของพวกเธอทั้งสองจะเปลี่ยนไปตลอดกาลจากกระสุนนัดเดียว(ไม่ใช่สาระแนเห็นผี อีกเหมือนกัน) หนังใส่ประเด็นรายละเอียดมาอย่างลงตัวทั้งเรื่องของผู้ชายที่มักจะมีอำนาจเหนือกว่าผู้หญิงเสมอ เส้นทางของชีวิตที่เราเลือกได้เอง เพลงประกอบที่เพราะมากๆ จากการประพันธ์โดย Hans Zimmer ไปจนถึงตอนจบที่บ้าบิ่นเอามากๆ มันแทบจะหยุดลมหายใจเลยทีเดียว อารมณ์ของหนังคล้ายกับเรากำลังเล่นรถไปเหาะในสวนสนุกที่ค่อยๆไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งพีคขั้นสูงสุด แล้วก็ จบลง......


9.Midnight in Paris
 วู้ดดี้ อัลเลน เป็นศิลปินตัวจริงสำหรับผม ผมดูหนังของเค้าเรื่องแรกเมื่อปี 2008 กับเรื่อง Vicky Christina Barcelona ในวันนั้นผมยังใช้คำนำหน้าว่าเด็กชายอยู่เลย ขอสารภาพเลยว่านี่เป็นหนังรางวัลเรื่องแรกๆที่ดูและไม่ได้รู้สึกคลั่งไคล้อะไร(ก็แหมมม จะเอาอะไรกับเด็ก) จนสามปีต่อมาได้หยิบมาดูอีกครั้ง เท่านั้นแหละ  ผมกลายเป็นแฟนหนังของลุงอัลเลนไปในบัดดล แม้ส่วนตัวจะดูหนังของเขาไม่มากนัก(ยอมรับเถอะ หนังลุงแกหาดูยากมากๆ) แต่เท่าที่ดูมานี่ ชอบหมดทุกเรื่องเลยไม่ว่าจะ Match Point, Manhattan, To Rome with Love , Sweet and Lowdown แต่ที่ชอบมากที่สุดคงเป็น Manhattan กับ Midnight in Paris นี่ล่ะ แต่ขอเลือกเป็นปารีสแทนล่ะกัน ด้วยชอบเนื้อหาและความสร้างสรรค์ ระหว่างเรื่องจริงกับแฟนตาซี โดยเฉพาะไอเดียในการนำศิลปินชื่อดังต่างๆมาขึ้นจอไปจนถึงนักแสดงเหล่านั้นที่รับบทเป็นคนดังก็ดูสนุกกับมัน ความโรแมนติกที่ล้นจอ อารมณ์ขันแบบสไตล์อัลเลน ครบรส ครบเครื่อง ทั้งหมดนั้น มันมีเสน่ห์มากจริงๆ


10. Brokeback Mountain
ผมไม่รู้จะอธิบายเกี่ยวกับความรู้สึกที่มีต่อหนังเรื่องนี้ อาจเพราะตัวเองเป็นเพศที่สาม เลยค่อนข้างจะถูกดึงเข้าไปมีส่วนร่วมในหนังได้ค่อนข้างง่าย แม้ในช่วงแรกหนังจะดูเอื่อยๆ แต่มันกลับไม่รู้สึกเบื่อ และนั่นมันทำให้เราค่อยๆเป็นส่วนหนึ่งไปกับหนัง ความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ค่อยๆก่อตัวขึ้น ความรู้สึกทั้งหมดที่มีแต่ต้องถูกปิดเอาไว้ ด้วยคำว่า ไม่ถูกต้อง ใครจะรู้เลยว่า ความรักเป็นเรื่องธรรมชาติ เรามีสิทธิ์ที่จะรักใครก็ได้ เมื่อหนังทะยานไปจนถึงวินาทีสุดท้าย น้อยคนนักที่จะกลั้นน้ำตาไว้ได้ นี่เป็นผลงานที่ดีมากๆเรื่องหนึ่งไม่ใช่แค่ของผู้กำกับ อัง ลี แต่เป็นอีกหนึ่งหนังที่ควรค่าแก่การจดจำในโลกภาพยนตร์ 


11.Big Fish
ผมไม่คิดเลยว่าหนังเรื่องนี้จะกลายมาเป็นหนังเรื่องโปรดของผม เดิมทีผมแค่ชอบจินตนาการเพี้ยนๆของผู้กำกับ Tim Burton ก็เท่านั้น  Big Fish มีทุกอย่างที่ผมอยากเห็นรวมอยู่ในนั้น ทั้งเรื่องราวเหนือจริง คล้ายเทพนิยาย ไปจนถึงดราม่าหนักๆ ว่าด้วยความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกชาย ผมอยากให้ผู้กำกับ เขากลับมาทำหนังแนวๆนี้อีกนะ เพราะที่ผมได้ดูจาก Alice In Wonderland แล้ว มันไม่ไหวจริงๆ แม้ว่าส่วนตัวจะค่อนข้างชอบ Dark Shadow กับ Frankenweenie แต่ผมก็รู้สึกว่า มันค่อนข้างเชย แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่า ผมชอบเรื่องเล่าพิลึกพิลั่นใน Big Fish


12. The Social Network
นี่เป็นหนังออสการ์ประจำปี 2011 สำหรับผม ผมไม่รู้ว่าทำไม The King of Speech ถึงได้ไป แต่ช่างมันเถอะ  ออสการ์ก็แบบนี้แต่ไหนแต่ไร มีอะไรให้บ่นอยู่ทุกปี ต้นทุนความชอบของหนังเรื่องนี้มีหลายอย่างทั้งตัวผู้กำกับ นักแสดง การลำดับภาพ สกอร์ เอาง่ายๆเลยล่ะกัน ทุกอย่างในหนังเรื่องนี้ผมปลื้มหมด ผมไม่ค่อยชอบหนังที่ระเบิดภูเขาเผากระท่อม สักเท่าไหร่ ซึ่งมันก็เป็นผลดีหากใช้ได้ถูกต้อง ตามจังหวะจะโคน ถูกที่ ถูกเวลาอย่าง The Lord of the Ring, Avatar หรือเมื่อปีก่อนอย่าง Life of Pi, The Hobbit ปีนี้ก็มีอย่าง Gravity ซึ่งมันให้ผลที่ดีเสียยิ่งกว่าดี ข้อเสียส่วนใหญ่ของหนังที่เปลืองเอฟเฟคคือ เขาไม่ให้ความสำคัญกับบทเลยแม้แต่น้อย อย่าง Tranformers สองภาคหลังที่ออกทะเลไปไกล จนแทบกู่ไม่กลับ ถ้าเป็นแบบนั้น  ผมขอนั่งดูหนังที่เต็มไปด้วยบทสนทนาที่ดุเดือดเผ็ดมันส์ อย่าง The Social Network ดีกว่า


13.The Perk of Being a Wallflower
ร้อยคนดูจะมีสักสามคนที่ไม่ชอบ หนึ่งคือเด็ก สองคือแก่แล้ว สามคือไม่มีสติ  อาจเพราะหนังกล้าที่จะก้าวไปไกลมากกว่าหนังรักวัยรุ่น หนังนำเสนอแง่มุมทั้งบวกและลบออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับต้นฉบับที่เป็นนิยาย และผู้กำกับที่เอาอยู๋ทั้งเรื่อง นั่นรวมถึงนักแสดงด้วย โดยเฉพาะโลแกน เลอร์แมน พระเอกของเรื่อง ที่เค้าได้พิสูจน?ให้เห็นว่า เขาไม่ได้มีดีแค่หน้าตา(ที่ไม่ต่างจากลูกเทพ) แต่การแสดงของเขาก็ยังอยู่ในขั้นเพอร์เฟค อีกด้วยเพลงประกอบที่ลงตัว ราวกับจับวาง มีหรือที่หนังเรื่องนี้จะถูกผมเมิน


14.The Classic
ใครหลายคนอาจชอบ My Sassy Girl แต่ผมกลัรู้สึกว่าหนังให้น้ำหนักกับตัวละครผู้หญิงมากเกินไป จนยากจะเชื่อว่า จะมีคนแบบนั้นอยู่บนโลกจริงๆ แต่ผมก็ชอบนะเพียงแต่ผมชอบ The Classic มากกว่า หนังเรื่องนี้เดิมทีผมก็ไม่ได้อยากดูเท่าไหร่ ทั้งยังให้ความรู้สึกติดลบจากชื่อหนังของเรื่องที่ดูทะเยอทะยานซะเหลือเกิน แต่เมื่อได้รับชม ผมพบว่าผมคิดผิด จริงอยู่ว่ามันต้องน้ำเน่าแน่ๆ แต่ผมกลับชอบแหะ ทั้งนักแสดง เพลงประกอบ มุมกล้อง ทุกอย่างมันสอดคล้องลงตัว ดูดี ใครชอบหนังรักที่บิ้วหนักๆ ที่บีบคั้นน้ำตา หนังเรื่องนี้ คือคำตอบ และเมื่อไปถึงตอนจบหนังก็ปล่อยให้คนดูได้ปล่อยโฮ เต็มที่  


15.  Adventureland
ภาพยนตร์เรื่องนี้มันอาจไม่ได้ดีไปกว่าภาพยนตร์อื่นๆทั่วไป แต่ผมรู้สึกชอบมากเป็นพิเศษ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ผมว่าหนังมันดูง่ายๆ น่ารักๆ แล้วก็เพลินมากๆด้วย ว่าด้วยหนุ่มเนิร์ดที่เตรียมเก็บเงินไปเที่ยว New York เขาเข้าไปทำงานในสวนสนุกที่ชื่อว่า Adventureland  แล้วบังเอิญไปตกหลุมรักกับหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งๆที่เป็นสวนสนุก สถานที่ที่ทุกคนมามีความสุขแต่ดูเหมือนว่าผู้คนที่อยู่ในนั้นจะไม่ได้มีความสุขกันเท่าใดนัก แม้เรื่องราวจะเกี่ยวกับความรักแต่หนังก็ไม่ลืมที่จะพูดถึงความฝัน ความบ้าบิ่นในตอนวัยรุ่นเอาไว้ด้วยอารณ์ขัน เป็นหนังที่ดูแล้วอมยิ้มเบาๆ เหงานิดๆ เป็นความรู้สึกที่ยากแก่การบรรยาย


16. Once
เรื่องของชายหนุ่มนักดนตรีที่ไม่กล้าร้องเพลงของตัวเอง กับหญิงสาวที่ใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ เพียงเท่านี้คุณก็จินตนาการออกแล้วมั้งว่ามันจะเป็นยังไง แต่เดี๋ยวก่อน มันไม่ใช่อะไรแบบนั้น หากแต่จริงๆแล้วอาจดูเหมือนเป็นหนังรักเนื้อหาเบาๆ แต่เอาเข้าจริงๆด้วยการนำเสนอที่คล้าย Documentary ทำให้หนังเรื่องนี้ดูดีขึ้นมาอีกเท่าตัว มันเหมือนเรากำลังนั่งดูคนจริงๆ ไม่ใช่การแสดง การพบกันของคนสองคน ต่างฝ่ายต่างช่วยเติมเต็มความฝันที่หล่นหายให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง บวกกับ Ost ที่กินใจอย่างมาก เชื่อเลยว่ามันต้องเป็นหนังในใจของใครอีกหลายคน




17. Slumdog Millionaire
มันเป็นเรื่อง destiny ของชายคนหนึ่งที่เติบโตมาในตรอกสลัม ทุกช่วงจังหวะชีวิตของเขาล้วนแล้วแต่ส่งผลถึงเหตุการณ์ภายหลัง คำถามที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอด มันเป็นหนังที่มีจิตวิญญาณสูงมากๆเรื่องหนึ่งที่ผมเคยดูมา ที่สำคัญคือมันสนุกมาก เปนหนังออสการ์ไม่กี่เรื่องที่เราดูแล้วรู้สึกสนุก มีอารมณ์ร่วม จริงๆแล้วนับจากเรื่องนี้เป็นต้นมาผมก็ไม่เห็นว่าจะมีเรื่องไหนทำให้มีอารมณ์ร่วมในทางบวกแบบนี้เลย ไม่ได้หมายความว่าเรื่องในปีถัดๆมาไม่ดี หรือไม่ถูกใจนะ มันต้องดีล่ะ แต่แค่ไม่ได้สนุกหรือประทับใจอะไรมากเท่า วันก่อนผมเอากลับมาดูอีกรอบผมก็ยังสนุกไปกับมันไม่ต่างจากครั้งแรกๆที่ได้ดู มีหนังไม่กี่เรื่องหรอกที่เราดูแล้วอยากดูซ้ำ 



18.Milk
Milk น่าจะเป็นหนังบังคับเลยมั้ง สำหรับเพศที่สาม ส่วนตัวชอบผู้กำกับ กัส เวน เซน อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เคยดู Good Will Hunting แล้วฟินอยู่หลายวันทีเดียว เพราะหนังมันมีความฟิลกู้ดในแบบของผู้กำกับรายนี้ชนิดที่ว่าหาตัวจับยาก แต่ที่ผมสังเกตดูก็คือ นับจาก Milk แล้ว ผลงานของผู้กำกับรายนี้ก็ดูจะแผ่วลง แต่ไม่ถึงกับแย่มากมาย ไม่ว่าจะทั้ง Restless หรือ Promised Land ก็ตาม(ในทัศนของผมนะ) โดย Milk นั้นสร้างจากเรื่องจริง ของนักการเมือง ฮาร์วี่ มิลค์  โดยมีฉากหลังเป็นซาน ฟรานซิสโก ในยุค 70 นอกจากเนื้อเรื่องจะได้ใจแล้วที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือนักแสดงนำ ฌอน เพนน์ ซึ่งถ่ายทอดบทบาทนักการเมืองเกย์คนดัง ออกมาได้แบบไร้ที่ติ เป็นหนังที่มีคุณค่าทั้งในแง่ถ่ายทอดเรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์ได้อย่างงดงาม ยิ่งไปกว่านั้นคือความประทับใจที่ไม่มีวันลืม


19.Spirited Away
อะนิเมชั่นจากค่ายจิบลิ ที่โด่งดังและน่าจดจำมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง จริงๆแล้วการ์ตูนของจิบลิ ดูดีแทบทุกเรื่องเลยล่ะ จริงๆชอบ Spirited Away กับ Whisper of The Heart แต่รู้สึกว่า Spirited Away ดูมีจิตวิญญาณมากกว่า รวมถึงเรื่องราวการผจญภัยก็ดูเพลินมากๆ ตัวละครมีเสน่ห์ยากจะลืมเลือนโดยเฉพาะตัวประหลาดผู้หงอยเหงา จริงๆมันแทบจะเป็นสัญลักษณ์ที่คู่กับตัวโตโตโร่ ได้เลยล่ะ ถ้าใครยังไม่เคยดูการ์ตูนของค่ายนี้แล้วล่ะก็ ผมอยากให้ดูเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลยครับ แล้วคุณจะกลายเป็นแฟนหนังของการ์ตูนค่ายนี้ เหมือนที่ผมเป็นอยู่นี่



20. Donnie Darko
อันดับที่ยี่สิบ ผมพยายามคิด คิด คิดว่าผมชอบเรื่องไหนอีกบ้าง เพราะจริงๆแล้วผมชอบเยอะมาก มากจนไม่อาจจัดไว้ได้แค่ ยี่สิบ ชื่อ ผมพยายามแะมีหลายชื่อมากผุดขึ้นมาในหัวผมทั้งหนังเอพิค หนังอันเดอร์อินดี้ Into the Wild, Harry Potter, The Lord of the Ring , Last Life in the Universe, The True Man Show, Whisper of the Heart, Let the Right One In บลาๆๆๆ แต่ผมกลับเลือก Donnie Darko ด้วยเหตุผลง่ายๆที่ว่าผมชอบตรรกะ ความซับซ้อน และอารมณ์ที่เกิดขึ้นหลังดูจบ ไม่อาจใช้คำว่าหนังผีได้เต็มปากเต็มคำ จะว่าเป็นหนังรักก็ไม่ใช่ มันเป็นหนังที่มีเสน่ห์ หาตัวจับยาก หนังอาจไม่ถูกจริตกับคนส่วนใหญ่มากนัก แต่ผมผู้ซึ่งนิยม ชมชอบหนังแปลกๆแล้ว นี่เป็นอาหารรสเลิศที่ควรหามาชิมอย่างยิ่ง

12 Years a Slave : นี่หรือที่เรียกว่า "มนุษย์"

"I don't want to survive, I want to live"



จริงๆคือไม่ได้อยากดุหนังเรื่องนี้เท่าไหร่ รู้ว่ามันดี และโกยรางวัลมากมาย ซึ่งตัวผมชอบดูหนังรางวัลอยู่แล้ว เพียงแต่ช่วงนี้เจอมรสุมชีวิตหนักๆ หนักมากๆ จึงเปลี่ยนไปดูแนวหนังโทนสว่างๆ เชื่อสิถ้าชีวิตคุณเจอแต่เรื่องแย่ๆคุณก็ไม่อยากจะดูหนังดราม่าหนักๆหรอก คุณจะโหยหาหนังที่มันโลกสวย ใสๆไปจนถึงโกหก หลอกลวง จอมปลอม แต่ยังไงก็ยังไม่อยากพลาดเรื่องนี้แม้จะคาดเดาไว้แล้วว่าเมื่อดูจบต้องหดหู่มากแน่ๆ และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆนะ คือความรู้สึกมันอึดอัดมาก 


Steve McQueen ผู้กำกับรายนี้ผมเคยดูเรื่องก่อนหน้าเพียงเรื่องเดียวคือ Shame และผมชอบมันมากทีเดียว เพราะหนังมันไม่เบามือเลย คือไม่สนหรือแคร์คนดูเลยว่าจะรู้สึกยังไง ครั้งนี้ใน 12 Years a Slave ยิ่งไปกันใหญ่ คือมันหนักมาก หนักอึ้งเลย ไม่มีช่วงไหนของหนังที่ทำให้เราผ่อนคลายตลอดทั้งความยาว 134 นาที ยิ่งหนังสร้างจากเรื่องจริง มันยิ่งทำให้ถูกดูดเข้าไปร่วมในชะตากรรมนั้นๆกับตัวละคร 


เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของหนังที่ดี แต่ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีจุดพลาดซะทีเดียว มันยังมีบางสิ่งที่เรารู้สึกว่ามันหล่นหายไป หรือไม่ค่อยเมคเซ้น แต่หากมองในความเป็นจริงทุกวันนี้ เราหวังว่าจะขอให้มีใครสักคนเป็นฮีโร่ลุกขึ้นมาต่อต้าน ยื่นมือมาเพื่อช่วยเหลือเรา แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่เลย มีเพียงแต่ตัวเราเท่านั้นที่ต้องเอาชีวิตให้รอดจากเหตุการณ์ร้ายๆ เพราะนี่คือชีวิตจริงๆ ไม่มีใครกล้าเอาชีวิตทั้งชีวิตไปเสี่ยง Solomon Northup ศูนย์กลางของเรื่องไม่ได้พยายามทำตัวเป็นฮีโร่ เป็นวีรบุรุษเขาแค่ใช้ชีวิตไปตามเท่าที่มันจะเอื้ออำนวย แม้ในตอนท้ายเขาจะรอดพ้นจากช่วงเวลาที่แสนลำบากไปได้ แต่คนอื่นๆที่เหลือ ยังคงก้มหน้าทำกรรม ไม่สิมันไม่ใช่กรรม หากแต่เป็นการละเมิดในสอทธิมนุษยธรรมอย่างรุนแรง เขาไม่ได้ทำอะไรผิด เขาแค่เกิดมามีสีผิวไม่เหมือนกันกับเราๆเท่านั้น 


เป็นเรื่องปกติที่มนุษยเรามักจะชอบดูถูก รังแก ข่มเหงคนที่ด้อยกว่าเสมอ ผู้ชายทำร้ายผู้หญิง คนขาวทำร้ายคนดำ เด็กถูกรังแกจากผู้ใหญ่ เพศที่สามถูกสังคมรังเกียจ คนติดยาถูกตีตรา คนไร้การศึกษาถูกตีค่าว่าไม่มีความสามารถเพียงพอจะตัดสินใจในการบางสิ่ง ไม่รู้ว่าทำไมแต่ดูเหมือนลึกๆแล้ว มนุษย์อย่างเราๆจะชอบเหลือเกิน 


นี่เป็นอีกหนึ่งหนังที่ดีมากๆในรอบปี ที่ควรค่าแก่การรับชม 

#นักแสดงทุกคนที่อยู่ในหนังเรื่องนี้เยี่ยมมาก โดยเฉพาะ Michael Fassbender คือพี่แก หลุด มากจริงๆ เป็นตัวละครดาวร้ายอีกตัวที่น่าจดจำ 

#Score หนังมันทำให้เวลาดูรู้สึกหดหู่ไปอีกราวๆสิบเท่า เลยล่ะ


All Is Lost ; เรือเล็กควรออกจากฝั่ง

เรือเล็กควรออกจากฝั่ง 


"เสียงลมคำราม ฟ้าครามพลันมืดมัว หัวใจสั่นระรัว ฉันกลัวอะไร ทะเลเอาจริง หรือเพียงจะวัดใจใคร เหมือนคำขู่ท้าทาย ให้ยอมจำนน" 

ในชีวิตนี้ดูหนังแปลกๆมาพอสมควร แต่หนังเรื่องนี้มันแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ แม้มันจะเป็นหนังแนว Survival ตามรอยรุ่นพี่ อาทิ Cast Away, Into the Wild, 127 Hours, Life of Pi เป็นต้น แต่ถึงอย่างนั้น All is Lost กลับ ดูสมจริง ที่สุด เพราะอย่างน้อยๆคุณต้องใช้ชีวิตอยู่กับตัวละครตลอดทั้งเรื่อง จริงๆ หนังเรื่องนี้มีนักแสดงคนเดียว ย้ำเพียงคนเดียว 


"พายุ ถั่งโถม อยู่ในใจ จะออกไปแตะขอบฟ้า แต่เหมือนว่าโชคชะตาไม่เข้าใจ มองไปไม่มีหนทาง ชีวิตฉันต้องล่มลงใช่ไหม" 

หนังเริ่มต้นจากอุบัติเหตุเล็กๆที่ทำให้เรือของชายชรานิรนามวัยเกษียณไปชนเข้ากับตู้คอนเทนเนอร์กลางทะเล นับจากวินาทีนั้นต่อไปนี้คือบททดสอบเอาชีวิตรอด 


"หัวใจคำราม ฟ้าครามไม่สร้างใคร ทะเลจะสร้างคน ด้วยอันตราย พายุ ถั่งโถม สักเพียงไหน จะไม่ยอมแพ้คำขู่ เรียนรู้ และสู้ไป" 

สิ่งที่ชอบมากที่สุดคือ ตัวละครมีความเป็นคนจริงๆสูงมาก สามารถสะมผัสได้และยิ่งไปกว่านั้นเราไม่ทราบข้อมูลใดๆของตัวละครตัวนี้เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเรียงนาม จุดหมายปลายทาง วัตถุประสงค์ในการเดินทาง อะไรก็ตาม และหนังก็ไม่ได้พยายามทำให้เราอยากรู้เรื่องนั้น สิ่งเดียวคือ ชายผู้นี้จะเอาตัวรอดได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าผู้กำกับจะมีอารมณ์ขัน(ร้าย)ตั้งแต่กรให้ความหวังก่อนจะทิ้งให้หมดอาลัย ตายอยากไปกับความหวังที่พังทลายลงไปต่อหน้าต่อตา ไปจนถึงวินาทีสุดท้าย ตลอดทั้งเรื่องหนัง่อยๆทวีความหนักอึ้ง เข้ามาทีละนิดทีละนิด จนถึงฉากสุดท้าย 


"จะออกไปแตะขอบฟ้า สุดท้ายแม้โชคชะตาไม่เข้าใจ (ภายในใจยังคงเรียกร้อง) มองไปไม่มีหนทาง แต่รู้ว่าฉันต้องไปต่อไป" 

สิ่งหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้และมันทำให้หนังเรื่องนี้ไปได้ไกลคือ Soundtrack ประกอบที่ช่วยเพิ่มความสมจริงให้กับหนังขึ้นไปอีกเท่าตัว ไม่ว่าจะเป็นเสียงฟ้าคำราม คลื่นซัดกระหน่ำ หรือ Score ที่มาเป็นพักๆ แต่มาได้ถูกที่ถูกจังหวะมาก 


"ตรงเส้นขอบฟ้าสีคราม ความหวังยังนำทางฉันใช่หรือไม่ (ให้อุปสรรคเปลี่ยนผันเป็นพลัง) คำตอบอยู่กลางคลื่นลม ชีวิตแม้ต้องล่มลงตรงไหน แต่ฉันก็ยังยืนยันที่จะไป" 

ไม่แปลกที่ใครจะเรียกหนังเรื่องนี้ว่า "หนังทดลอง" เพราะผมก็รู้สึกแบบนั้นนะ มันเป็นการทดลองซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ดีมากทีเดียว พิจารณาว่านี่เป็นหนังเรื่องที่สองของผู้กำกับ J.C. Chandor เครดิตก่อนหน้าคือ "Margin Call" โดยนักแสดงนำของ All is Lost คือ Robert Redford ซึ่งก็น่าสงสัยนะว่าทำไมถึงไม่ติดโผนำชายออสการ์ ? 


"จะออกไปแตะขอบฟ้า สุดท้ายแม้โชคชะตาไม่เข้าใจ(ภายในใจยังคงเรียกร้อง) มองไปไม่มีหนทาง แต่รู้ว่าฉันต้องไปต่อไป" 

อย่างที่ผมบอกไปเมื่อตอนต้นว่าผมก็ดูหนังมาพอสมควร พอจะรู้ว่าหนังเรื่องไหนดี ไม่ดียังไง หนังบางเรื่องดูจบแล้วแทบอยากจะไปเผาบ้านทีมงานหนังเรื่องนั้นทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่กลับหนังเรื่องนี้คือ ผมอยากปรบมือชื่นชมผู้กำกับมาก กับตอนจบของหนัง คุณอาจสูญเสียทุกอย่าง (All is Lost) แต่สิ่งหนึ่งคือคุณอย่าเสียศูนย์ อย่าทอดทิ้งความหวัง 


"ความหวังยังนำทางฉันใช่หรือไม่ ชีวิตมันยังยืนยันที่จะ ที่จะ ไป" 

#ขอขอบคุณเนื้อเพลงจากศิลปิน Bodyslam

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

The Hobbit: The Desolation of Smaug ; Billo Baggins and the Thirteen Drafts

                                                              Billo Baggins and the Thirteen Drafts



ผมชอบหนังไตรภาคชุด The Lord of the Ring มากที่สุด ถึงขั้นคลั่งไคล้ ไม่ต่างจาก Harry Potter ผมกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นแฟนคลับเลยล่ะ เพราะนอกจากผมจะตามดูหนัง ตามดูนักแสดงที่ไปเล่นหนังเรื่องอื่นๆและนั่นทำให้ผมรู้จักซีรี่ย์น้ำดีอย่าง Sherlock Holmes และการได้ครอบครองหนังสือชุดเดอะลอร์ด เดอะฮอบบิท ยกเว้นเล่มเดียวคือ ตำนานแห่งซิลมาริลออน ที่ขาดตลาดไปเสียแล้ว



เมื่อปลายปีก่อนเดอะฮอบบิทภาคแรกได้เข้าฉาย ไม่มีใครกล้าฟันธงว่ามันจะรุ่งจะร่วง หรือยังไง ท้ายสุดมันทำเงิน แม้คำวิจารณ์โดยรวมจะออกมาก่ำกึ่ง แต่หากมองจากแฟนคลับแล้ว มันช่างเป็นอะไรที่ดีอย่างถึงที่สุด เพราะแค่การได้เห็นตัวละครอันเป็นที่รักโลดแล่นมันก็เกินพอแล้ว



เดิมทีหนังวางแผนไว้ว่าจะทำออกมาเป็นสองภาคแต่ไปๆมาๆ ไหงงอกมาเป็นไตรภาคก็ไม่ทราบได้(นับว่าเป็นเรื่องดี ต่อทั้งตัวผู้สร้างเองและกลุ่มแฟนคลับ) ทั้งๆที่นิยายต้นฉบับมันไม่ได้มีให้เล่ามากขนาดนั้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของทีมเขียนบทที่ต้องขยายเรื่องราว ตัดแต่งเสริมดัด (ส่วนหนึ่งอ้างอิงจากต้นฉบับภาคผนวกใน Return of the King) ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องถูกค้านเพราะในขณะที่ The Lord นั้นยาวมากจนต้องตัดออกไปมากโข แต่ The Hobbit ที่หนาไม่ถึง 350 หน้าด้วยซ้ำ กลับขยายซะยืดยาว แต่เท่าที่ผมรู้สึกจากการดูทั้งภาคแรก และภาคสอง มันก็ย้วยๆจริงๆน่ะแหละ จนบางครั้งหรือสึกว่ามันไม่มีอะไรมากไปกว่าการตะลุยด่าน ให้จบๆไป



ในภาคนี้ หนังเริ่มเรื่องราวต่อจากภาคแรกโดยไม่ต้องเสียเวลาไปทบทวนอะไร ใครที่ไม่ได้ดูภาคก่อนหน้ามาก่อน แนะนำว่า ต้องดู และจะดีมากหากได้ดู The Lord มาก่อนแล้วด้วย สำหรับเนื้อหาแล้วหนังเปลี่ยนจากต้นฉบับไปค่อนข้างมาก หนังเพิ่มตัวละครเข้ามาอีกก็หลายตัวทั้งที่เคยเห็นและไม่เคยเห็น อย่าง เลกูลัส เอล์ฟหน้าเด้ง ที่ในนิยายไม่ได้พูดถึง(แต่เรารู้กันอยู่แล้วว่าเขาเป็นบุตรชายของธรันดูอิล) หรือเอล์ฟสาว เทาเรียล ซึ่งกลับกลายเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์มากที่สุดในเรื่อง ในความคิดผม เผลอๆดูจะมากเสียกว่าตัวละครหลัก บิลโบ หรือ ธอริน ด้วยซ้ำไป และพาร์ทความรักระหว่าง เทาเรียลกับคิลี นี่ล่ะที่ผมเทใจให้หนังเรื่องนี้  หนังพาเราไปผจญภัยยังดินแดนต่างๆอย่างบ้านของบีออร์น ชายร่างยักษ์ผู้ซึ่งสามารถกลายร่างเป็นหมียักษ์ตัวเบอเริ่มได้ ป่าต้องคำสาปป่าเมิร์กวู้ด อาณาจักรเอล์ฟของธรันดูอิล ป้อมปราการของเซารอน หมู้บ้านทะเลสาบ และหุบเขาโลนลี่ ที่อยู่ของเจ้ามังกรร้ายสม็อก  อิ่มครับ จุใจมาก แต่ละสถานที่ดูมีเน่ห์มากๆ โดยเฉพาะฉากการหลบหนีออกมาจาก ตำหนักของธรันดูอิล ดูเพลินมากจริงๆ  แต่ถึงกระนั้นข้อเสียของหนังประเภทนี้คือมันดูสนุกก็จริงแต่สิ่งที่ขาดหายมักจะเป็นพัฒนาการของตัวละคร นับว่าน่าเสียดาย โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของบิลโบกับธอริน ที่น่าจะใช้ประโยชน์ได้มากกว่านี้ เพราะหากย้อนไปในฉากจบของภาคแรกเราจะเห็นถึงสายสัมพันธ์บางอย่างระหว่างตัวละครทั้งสองนี้  หรือตัวละครบางตัวก็ผลุบๆโผล่ๆ อย่าง บีออร์น ซึ่งเขาจะกลับมาแน่ในภาคต่อไป แต่ก็ยังรู้สึกเสียดายไม่ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่ง แกนดัล์ฟ ที่ไปๆมาๆ ซึ่งจะโทษใครก็ไม่ได้ เพราะในหนังสือตัวละครรายนี้ก็หายไปทำภารกิจเช่นกัน  แต่หนังก็ไม่ได้ทอดทิ้งให้นั่งดูตัวละครจากคอมพิวเตอร์สู้กันเหมือน หนังหุ่นเหล็ก(ที่ลากมาสามภาคและกำลังคลอดภาคใหม่ออกมา) หรือ พาไปดูวันโลกแตกเมื่อหลายปีก่อน เพราะอย่างน้อย เรื่องตัวละครที่มากจนล้นคงเป็นเหตุผลหลักอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ กิลเลอเมอ เดล โตโร ถอนตัวไป และ ปีเตอร์ แจ็คสันที่ลังเลใจในตอนแรกต้องกระโดดลงมากุมบังเหียนเองในตอนหลัง แต่ตัวละครในเรื่องก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน  ถ้าไม่เชื่อลองถามตัวเองหลังดูจบ ว่าเมื่อพูดถึง The Hobbit คุณนึกถึงอะไรเป็นอย่างแรก พวกคนแคระหรือฉากอันวิจิตรตะการตา



และที่ผมอยากพูดถึงคือ ระบบที่หนังใช้ในการถ่ายทำคือ High Frame Rate 48fps นี่มันชัดเป็นบ้าเลย มันชัดมากจนเหมือนมันดูปลอมๆหลอกๆพิกล อันนี้คงแล้วแต่ว่าใครจะชอบ ซึ่งก็ต้องใช้เวลานานเหมือนกันในการปรับสายตาให้ชิน แต่สามมิติเรื่องนี้โอเคเลยนะผมว่า ดีกว่า Man of Steel เยอะเลย เรื่องนั้นเสียดายกะตังค์มาก รู้งี้ดูแบบดิจิตอลธรรมดาๆก็ดี(ขอบ่นหน่อยเหอะ)  อ่อ และการออกแบบตัวละครในเรื่องดูดีมาก โดยเฉพาะเจ้ามังกรสม็อก ดูดีแบบสุด ทำให้นึกถึงเจ้ามังกรตาบอดในธนาคารกริงกอต์ในโลกเวทย์มนต์เลยล่ะ



โดยสรุปนี้เป็นหนังฟอร์มยักษ์ทิ้งท้ายปี 2013 ได้อย่างสวยงาม ใครที่เป็นแฟนหนังชุดนี้ คงไม่พลาด ส่วนใครที่ยังไม่ได้ดู มีความรู้สึกนิดๆว่าอยากดู ไม่ต้องลังเลครับ หนังยาวเกือบสามชั่วโมง ยังไงก็คุ้ม และสำหรับผมนี่คืออีกหนึ่งหนังที่ขอเก็บไว้ในลิ้นชักหนังที่ชอบล่ะกันครับ



//ใครเห็นเครดิตชื่อของนายนักสืบเชอร์ล็อก สุดหล่อ Benedict แล้วสงสัยว่า เค้าเป็นใคร หนึ่งในคนแคระหรือเปล่า คำตอบคือ เค้ากลายร่างเป็นมังกรยักษ์นามสม็อก ที่กำลังจะเขมือบหมอวัตสัน เอ้ย! นายบิลโบ หัวขโมยของเรานั่นล่ะ