วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557

รีวิว Big Hero 6

"Hello. I am Baymax, your personal healthcare companion."



กล่าวโดยย่อๆ นี่คืออะนิเมชั่นจากฝั่ง Disney ที่ชอบที่สุดนับจาก Tangled ในปี 2010 หนังดัดแปลงหลวมๆมากจากการ์ตูนของ Marvel ฉะนั้น หนังเรื่องนี้จึงมีกลิ่นอายของ Marvel อยู่ค่อนข้างมากโดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลัง


แม้หนังจะไม่ได้เล่นท่ายากอะไร แต่การออกแบบตัวละครไปถึงออกแบบสถานการณ์ที่ตัวละครต้องพบเจอหลายๆฉากนั้นออกมาดูดีเกินคาด งานด้านภาพที่พัฒนาไปไกล แต่ที่เทใจให้อะนิเมชั่นเรื่องนี้คือ ความลงตัวระหว่าง การเล่นแอ็คชั่นเข้ากับงานดราม่าที่เข้ากันมากๆ รวมไปถึง สภาวะสีเทา ซึ่งช่วงหลัง Disney เล่นมุกนี้จนเกร่อแล้ว แต่กับ Big Hero 6 ถือว่ามาถูกจังหวะเวลา หลายฉากทำเอาน้ำตาซึมได้เลยทีเดียว


Big Hero 6 ถือเป็นอะนิเมชั่นอีกเรื่องหนึ่งของปีนี้ ที่ยัดคุณสมบัติของหนังดีเข้าไว้เกือบหมด เป็นหนังที่ไม่มีพิษภัย ผู้ใหญ่ดูได้ เด็กดูดี เหมาะกับช่วงเวลาปลายปีแบบนี้ สำหรับผู้ที่แสวงหาความสุขบนจอภาพยนตร์


วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เพื่อนเฮี้ยน โรงเรียนหลอน Ep.1-ุ6

ขอพื้นที่เล็กๆคอมเม้นต์ ค่ายหนังที่รักมากอย่าง GTH  กับซีรี่ย์ชุด เพื่อนเฮี้ยน โรงเรียนหลอน  ที่ ณ เวลานี้ปล่อยมาให้ ชื่มชม(ก่นด่า) แล้ว 6 Episodes แล้ว




1.        วนิดา
B-
เป็นการเปิดตัวซีรี่ย์ที่ดีในระดับนึง บรรยากาศความหลอนมาเต็ม ฉากหลอกผีถือว่า ผ่าน จังหวะลงตัว นักแสดงทำให้เราอินได้ในระดับนึง แต่ทำไมรู้สึกว่า เวลาดู มันไม่ค่อย สมูธ มันมีบางอย่างติดๆขัดๆ บางฉากก็ดูขาดๆเกินๆ (ส่วนใหญ่ออกมาเกิน) และที่ชอบคือ จุดหักมุมของหนังไปจนถึงตอนจบ ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของ วนิดา




2.ตาย-ตาม
C
การกำกับครั้งแรกของพี่เต๋อ ฉันทวิชช์ ส่วนตัวค่อนข้างคาดหวังกับตอนนี้พอสมควร แต่เมื่อดูจนจบแล้ว รู้สึกว่า หนังไม่ได้มีอะไรมากเลย จุดหักมุมก็ไม่ได้รู้สึกเซอร์ไพร์ส หรือทำให้เราสะอึกได้  ตัวละครบางตัวก็ดูน่ารำคาญเกินกว่าจะเอาใจช่วย เช่นกันกับตอนแรกคือ บางอย่างดูขาดๆเกินๆ แต่ที่ชอบคงเป็นในเรื่อง ของ ความพยายามจะเท่ห์ ของพี่เต๋อ ซึ่งถือเป็นความทะเยอทะยาน ที่น่าชื่นชม หากวันนึงพี่เต๋อ เลือกจะเดินบนเส้นทางเบื้องหลังแล้วก็เป็นเรื่องที่น่ารอติดตาม



3.แช่ง
D-
ดูเป็นตอนที่มีอะไรให้เล่นมากมาย แต่แล้วหนังกลับไปไม่ถึง มิหนำซ้ำหนังแสดงทั้งหมด ย้ำว่านักแสดงทั้งหมดของตอนนี้กลับมีสถานะไม่ต่างจากการดู หุ่นตุ๊กตาปั้นสองมิติ เดินผ่านหน้ากล้อง เว้นแต่เบลล์ เขมิศรา พอเอาตัวรอดได้ การลำดับเรื่องถือว่าผิดพลาดหมด อารมณ์หนังนิ่งยิ่งกว่าน้ำเน่าในคลอง หนักกว่านั้น ผีที่มาจากโทรศัพท์ นี่มันไม่น่ากลัวเลยสักนิด แอบสงสัยว่า ตอนนี้ปล่อยให้หลุดมาได้ยังไง หายนะที่หนักกว่าคือ การฉีกหักมุม ในตอนท้าย แทยี่จะเป็นสิ่งที่ดี กลับกลายเป็นการดิ่งลงเหวลึก จนไม่อาจให้อภัย ได้



4.สายไม่ได้รับ(เชิญ)   
A
สองตอนก่อนหน้าทำเอาหมดศรัทธากับ GTH ไปพักใหญ่ ยิ่งเห็นตัวอย่างของ สายไม่ได้รับ(เชิญ) ยิ่งกุมขมับ ก่อนจะพบว่า เป็นความเข้าใจผิด ตัวหนังจริงๆ ดีมากๆ แม้จะไม่มีฉากหลอกผีออกมาเลยสักฉากเดียว แต่ทุกอย่างมันครบมาก ทั้งจังหวะ ลีลาการหลอกล่อคนดู ปริศนาในเรื่อง เงื่อนงำต่างๆ ดูสอดคล้องกับทิศทางที่หนังส่งมา นักแสดงหน้าใหม่อย่าง แบงค์ ธิติ แสดงดีมาก จนอยากมอบรางวัลให้ไปนอนกอด ผู้กำกับมีแนวทางที่ชัดเจน การกำกับมีความแม่นยำสูงมาก ดูจบแล้วรู้สึกอยากโทรศัพท์ไปคุยกับคนที่เรารักเลยทีเดียว



5.ปู่โสม
B-

เป็นตอนที่ผมเห็นว่ามีความใกล้เคียงกับวนิดา ทั้งเนื้อเรื่องและมุมมอง อาจเพราะมาจากผู้กำกับคนเดียวกันก็เป็นได้ รวมทั้งตัวเรื่องยังเล่นกับแนวคิด ความเชื่อแบบไทยๆ ทำให้มีความใกล้ชิดกับคนดูค่อนข้างมาก แต่สิ่งที่ชอบคือ ฉากหลอกผีที่มาแบบ non-stop ที่ทำได้ถึงใจจริงๆ ส่วนตัวชอบการแสดงของนักแสดงนำด้วย โดยเฉพาะ ฟรัง นรีกุล แม้การแสดงในบางช่วงบางตอนอาจไม่ชัด แต่โดยรวมแล้วน่าจดจำ  ไม่ต่างจากตอนที่รับบท ออย ในฮอร์โมน ซีซั่นสอง


6. สวยสยอง

C

ที่ต้องขอชื่นชมคือฝั่งนักแสดง มาร์ช จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล กับการแสดงที่ดูเข้าถึงบทบาททำให้การดูตอน สวยสยอง นี้ ไม่ตะกุกตะกัก แต่วิสัยทัศน์การนำเสนอของผู้กำกับยังดูไม่เฉียบคมพอ แม้หนังจะใส่ใจในรายละเอียดต่างๆที่พยายามบอกใบ้ให้กับคนดู แต่พอถึงจุดที่หนังเฉลยปม ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึก ลึก มากขนาดนั้น ส่วนหนึ่งเพราะหนังตอนนี้พยายามใส่ความเป็น ฮอร์โมน ลงมามากเกิน จนทำให้พาร์ทสยองขวัญมันดูผิดที่ผิดทาง ราวกับสองส่วนไม่บรรจบกันจนแนบสนิทได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้แย่จนรับไม่ได้ อาจเพราะตัวหนังก็ไม่ได้พยายามจะทะเยอทะยาน ทำให้ตอนนี้อยู่กึ่งกลาง มาตรฐานค่อนข้างพอดูได้


วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Whiplash "เพื่อดาวดวงนั้น ที่ฝันที่อยากเป็น"

Whiplash     เพื่อดาวดวงนั้น ที่ฝันที่อยากเป็น

ไม่ว่าจะมองในมุมไหน Whiplash ย่อมเป็นหนังที่สมควรดู อีกเรื่องหนึ่งในปีนี้ และ(ต้อง)มีบทบาทในเวทีปลายปีอย่างแน่นอน


เพียงตัวอย่างที่หนังปล่อยออกมายั่ว ก็ทำให้ผมกระสันที่จะดูหนังเรื่องนี้ แน่นอนว่าคะแนน บวกคำชมที่หนังได้รับย่อมเป็นตัวเร้าชั้นดี และผลลัพธ์หลังจอปิดม่านลง ไม่ได้ทำให้ตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงเทใจให้หนังเรื่องนี้


ผมขอเรียก Whiplash ว่ามีสถานะไม่ต่างจาก Black Swan Version ผู้ชาย แม้ว่า Whiplash จะมีความโลกสวยอยู่มากกว่าก็ตามที เนื้อหาหนังก็ตรงๆตามที่ ตัวอย่าง บอกเอาไว้ คือการก้าวไปสู่ความฝันของนักเรียนดนตรีผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งถูกกดดันจากผู้คนรอบข้าง รวมทั้งตัวเขาเอง การไปสู่ฝันของเขายังต้องถูกทดสอบโดยอาจารย์ผู้ไม่สนใจอะไรนอกจาก ความสมบูรณ์แบบ แต่ระหว่างทางหนังมีลูกเล่นเยอะมากรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ สร้างโลกของตัวละคร Andrew ได้เข้าขั้นสมบูรณ์  และขณะที่หนังเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ เราจะเห็นถึง ความแตกต่างของตัวละครผู้นี้ และหนังก็ได้ซ่อนไม้ตายเอาไว้ ในองก์สุดท้ายของหนัง  และน่าจะทำให้หลายคนชื่นชมปนสมเพชตัวละครรายนี้ในเวลาเดียวกัน

ที่ต้องพูดถึง คือการขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดระหว่างสองนักแสดงนำ Miles Teller ในบท Andrew นักดนตรีมือกลองผู้อ่อนโยน (ขอใช้คำนี้) กับครูสุดโหด Fletcher รับบทโดย J.K. Simmons นับว่าเป็นการแสดงที่ดีที่สุดของเขาเลยก็ว่าได้ หากไม่อินกับการไขว่คว้าความฝัน แค่ได้รับชมการแสดงอันล้ำค่าก็เกินค่าตั๋วไปแล้ว ยิ่งรู้ว่า Miles Teller เป็นนักดนตรีมือกลองจริงๆด้วยแล้ว(ไม่ใช่การใช้สแตนอินแล้วแปะหน้านักแสดงทับ) มันทำให้ ความน่าเชื่อถือ เพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว 



Whiplash เป็นหนังรางวัลปลายปี ที่สมควรดูในโรงภาพยนตร์ แล้วเสียงกลองในท่วงทำนอง Whiplash จะถูกฝังลงไปในหูอีกนานแสนนาน และมันจะทำให้หนังอย่าง Begin Again เป็นนิทานก่อนนอนสำหรับน้องหนูไปเลย


วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ดูแล้วมาเล่า รีวิว Fury (2014)

พระเจ้ากำลังเฝ้ามองอยู่



ไม่รู้ว่าตัวเองไปถูกจริตกับหนังสงครามเข้าตั้งแต่เมื่อไหร่ คาดเดาว่าจุดเริ่มต้นน่าจะมาจากเมื่อ 7 ปีก่อน กับภาพยนตร์เรื่อง The Hurt Locker (2008) เป็นภาพยนตร์สงครามเรื่องแรกๆที่ผมได้ดู ก่อนจะค่อยๆสรรหาภาพยนตร์ยุคเก่าก่อนมาดู

Fury ไม่ใช่หนังที่ผมคิดจะไปดูในโรงภาพยนตร์เรียกว่าเป็นหนังที่แทบจะมองข้ามไปเลยก็ว่าได้ แม้ผมจะชื่นชอบหนังแนวสงครามเป็นต้นทุนก็ตาม เพราะตั้งใจจะไปดู Whiplash ที่ดูจะเข้าทางมากกว่า แต่ด้วยว่าไปสาย การจราจรติด ทำให้ต้องมาลงเอยกับ Fury

Fury เป็นภาพยนตร์ในเครดิตการกำกับของ David Ayer ซึ่งโดยส่วนตัวไม่ได้พิสมัยกับหนังของเขาเท่าไหร่ เพราะหนังของพี่แกจะ แมน มากๆ ยกเว้นก็แต่ End of Watch ที่ดูแล้วลงตัวที่สุด การไปดู Fury เลยเป็นการลุ้นอีกด้วยว่า ท้ายสุดแล้ว จะชอบ หรือ เกลียด

Fury ไม่ได้ก่อให้เกิดอาการ น่าเบื่อหน่ายเลยสักนิด หนังเปิดเรื่องมาอย่างมีนัยยะ และนั่นทำให้ผมรู้สึกว่า การพลาดชม Whiplash ไม่ใช่เรื่องน่าเสียหาย

เนื้อหาของหนังกล่าวถึง ปี 1945 ซึ่งกองกำลังสหรัฐอเมริกาได้บุกเข้าไปยังใจกลางของเยอรมัน เมืองเบอร์ลิน แต่การจะฝ่าเข้าไปได้นั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย เหล่าทหารในนามรถถัง Fury มีหน้าที่ที่ต้องบุกทะลวงเข้าไป โดยมีกองทัพนาซีเป็นกำแพงขวางกั้น 

เนื้อหาต่อไป อาจมีสปอย

Main หลักของหนัง พูดถึง มิตรภาพ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แสนจะเลวร้าย อย่างสงครามโลกครั้งที่สอง หันมองไปทางไหนล้วนเต็มไปด้วยกลุ่มควันไฟขโมง โดยคนดูจะมีสถานะไม่ต่างจากตัวละครใหม่ที่เข้าร่วมกับ Fury อย่าง Norman Ellison รับบทโดย Logan Lerman ซึ่งเดิมทีเขาเป็นเพียงทหารฝ่ายเสมียน ไม่มีหน้าที่รบรา ฆ่าฟันใคร สมาชิกเก่าของ Fury ก็ให้การต้อนรับเขาอย่างดีเยี่ยม ประกอบไปด้วย Don 'Wardaddy' Collier (Brad Pitt), Boyd 'Bible' Swan (Shia LaBeouf),Trini 'Gordo' Garcia (Michael Peña) และ Grady 'Coon-Ass' Travis (Jon Bernthal) ก่อนทั้งหมดจะต้องเข้าไปสู่นรกใจกลางเยอรมัน

ซึ่งนักแสดงทุกคนต่างถ่ายทอดบทบาททหารที่ถูกสงครามกัดกินวิญญาณได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะ Brad Pitt ยังคงอยู่ในระดับ Top ไม่ต่างจาก Logan Lerman ที่แทบจะเป็นการพลิกบทบาทเลยก็ว่าได้

แม้จะเป็นหนังสงคราม แต่ก็เป็นหนังสงครามที่ดูไม่ง่ายเลย เพราะหนังใช้ภาษาภาพยนตร์อยู่ในตัวอยู่หลายฉากเลย และเชื่อว่าคนที่ดูหนังแบบคิดลึก คงต้องเสียน้ำตาให้กับหนังเรื่องนี้



เริ่มจากฉากแรก ที่ Don ใช้มีดแทงทหารนาซีอย่างเลือดเย็น สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ ก่อนจะหันไปหาม้าสีขาวลูบไล้มันอย่างแผ่วเบาแล้วปล่อยให้วิ่งไปจากสมรภูมิรบ

การมาของตัวละครหน้าใหม่ Norman คำถามแรกๆที่ถูกถามคือ เชื่อในพระเจ้าหรือไม่ ? และหนังก็ทำให้เห็นว่า พระเจ้าอยู่กับเราในทุกที่แม้ใน สมรภูมินรกแห่งนี้ Norman ยังถูกเตือนด้วยว่า หลังจากนี้ เขาจะได้เห็นสิ่งที่มนุษย์กระทำต่อกัน อย่างไ่ม่อยากเชื่อสายตา

ฉากที่น่าจดจำอีกฉากคือ ทหารนาซี คนหนึ่งรอดจากความตายมาได้แต่กลับถูกจับตัวมา Don เรียกตัว Norman มา เพื่อให้สังหารนาซีรายนั้น เพราะก่อนหน้านี้ Norman ทำหน้าที่พลาด จึงก่อให้เกิดความสูญเสียขึ้นในกองกำลัง Norman ไม่สามารถแม้แต่จะเหนี่ยวไกปืน Don บังคับให้ Norman ฆ่า ปัง! เสียงกระสุนทะลุร่างทหารนาซี ผู้ร้องขอชีวิต เพราะเขามีครอบครัวรออยู่ ร่างนั้นนอนแน่นิ่ง Norman เสียใจกับเหตุการณ์นั้น จนคนในบ้าน(Fury) เรียกเขาไปนั่งคุย และนั่นอาจเป็นครั้งแรกๆที่ทำให้เราเห็นว่า สงครามมันกัดกินจิตวิญญาณ พรากเอาความเป็น มนุษย์ ไปจากตัว คน มากแค่ไหน แต่หนังกลับทำให้เห็นว่า แท้จริงแล้ว ความเป็นมนุษย์ของเราไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เราสร้างเกราะขึ้นมา ซ่อน ความอ่อนแอ เอาไว้ข้างไหน


ฉากต่อมาที่อยากพูดถึงคือ หลังจากยึดเมืองหนึ่งได้ เหล่าทหารก็สำราญใจไปกับ อาหาร สุรา นารี Don พา Norman เข้าไปสำรวจในบ้านของหญิงสาวผู้หนึ่ง ก่อนจะพบว่ามีหญิงสาววัยรุ่นราวคราวเดียวกับ Norman แอบซ่อนตัวอยู่ และ Norman ก็ได้สำเร็จในรักกับเธอผู้นั้น ขณะที่ Don ชำระร่างกายของเขากับน้ำอุ่น คราบเลือด คราบโคลน หายไป แต่แผลเป็นอันน่าหวาดกลัวบนแผ่นหลังของเขายังคงสนิทนิ่ง บางอย่างเราไม่สามารถลบมันออกไปได้ มันยังคงแฝงตัวอยู่อย่างนั้น Don Norman และหญิงสาวอีกสองคนกำลังจะรับประทานอาหารที่ดูหรูหรา อยู่ไม่น้อย คนในบ้าน(Fury) ก็โผล่มาทำลาย มื้ออาหารแสนสุขนั้น ฉากนี้เป็นฉากที่ดีมากๆ มันแสดงให้เห็นถึง ก้อนผลึกทางความคิดของผู้กำกับที่ตกตะกอนมาเป็นอย่างดี Gordo เล่าถึงเหตุการณ์ที่ทั้งหมดเคยผ่านมาร่วมกัน ช่วงเวลาที่เลวร้าย ที่ทั้งหมดยังชีพด้วยการกินเนื้อม้าที่แสนขยาด เหตุการณ์ในอดีตนั้นมีทุกคนยกเว้น Norman แต่ในเวลานี้มื้ออาหารที่แสนหวานบนโต๊ะในบ้านหญิงสาวชาวเยอรมัน Don กับมีความสุขกับนายหารคนใหม่อย่าง Norman หากจะตีความให้ลึกซึ้ง มันกำลังพูดถึง ผลประโยชน์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ตักตวงเอาจากประเทศที่ผ่ายสงคราม (ในแง่นี้มีคนเขียนถึงไปแล้วในกระทู้พันทิป)

ขอรวบรัดไปยัง ฉากสุดท้าย ขณะที่ตัวละครเอกของเรื่อง คนหนึ่ง ได้รับบาดเจ็บ เขาพยายามตะเกียกตะกายพาร่างที่บาดเจ็บเข้ามาภายในตัวรถถัง หลายครั้ง ที่เราพบเจอกับเรื่องเลวร้าย เรื่องที่เล่าสุดแสนจะทนไหว สถานที่แรกๆ ที่เรานึกถึงคือ บ้าน เช่นเดียวกับตัวละครรายนี้ เขาพูดตั้งแต่แรกว่า fury เจ้ารถถังคันนี้ คือบ้าน หากเขาจะตาย เขาขอตายในบ้านหลังนี้ ดีกว่าต้องยอมยกธงขาวแล้วปล่อยให้ นาซี ทรมานเขาจนตาย


ในฉากสุดท้ายของเรื่อง หลังการสูญเสีย ภาพที่เราได้เห็นคือ รถถัง Fury และศพเหนือคณานับอยู่รอบๆ ภาพ ณ จุดนี้ ถูกถ่ายด้วยมุม Bird Eyes View นอกจากจะทำให้เห็นภาพในมุมกว้าง ผลของสงครามได้ชัดเจนแล้ว ขณะเดียวกัน มันคือ สัญลักษณ์ที่หนังพูดถึง สายตาของคนที่อยู่เบื้องบน(พระเจ้า) ได้มองลงมายัง นรก แดนนี้

ภาพยนตร์เรื่องนี้ อัดแน่นไปด้วย ความแปลกใหม่ทางด้านAction ในมุมมองใหม่ๆของหนังแนวสงคราม การแสดงที่เป็นธรรมชาติ ดนตรีที่เล่นน้อยแต่หนัก ช่วงต้นๆเรื่องหนังแทบจะไม่ใช้ดนตรีเข้าช่วยเลย ความนิ่งกลับแสดงท่วงทำนองความหนักแน่นและกดดันออกมาได้อย่างเสียงดัง ชัดเจน นี่เป็นผลงานอีกเรื่องที่ควรค่าแก่การรับชม โดยเฉพาะในโรงภาพยนตร์





วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

รีวิว Gone Girl (Film) ยามเธอหายไป ฉันนั้นคิดถึง

What are you thinking?

What are you feeling?

What have we done to each other?


What will we do?


ถ้าให้บอกชื่อผู้กำกับแห่งทศวรรษนี้เชื่อว่าชื่อของ David Fincher ผู้กำกับวัย 52 ปี ชาวอเมริกาผู้นี้ล้วนต้องถูกเสนอชื่อในลำดับต้นๆอย่างไม่ต้องสงสัย พิจารณาจากเครดิตที่เป็นตำนานอย่างหนังอาชญากรเลื่องชื่อที่ว่าด้วยบาปทั้ง 7 ของมนุษย์ใน Se7en คลับลับๆที่พูดถึการต่อสู้ทางจิตใจตนเองใน Fight Club หรือไม่นานมานี้อย่างตามติดชีวิตนายกระดุม The Curious Case of Benjamin Button และที่เปรี้ยงปร้างที่สุดคงหนีไม่พ้นหนังประวัติว่าด้วยการก่อร่างสร้าง Facebook โดยอัจฉริยะผู้เปลี่ยวเหงา Mark Zuckerberg ใน The Social Network รวมทั้งหนังสืบสวนอารมณ์ร้อนแรงที่ส่งให้ Rooney Mara ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงมาแล้วเมื่อปี 2011 กล่าวไปแล้ว Fincher เป็นผู้กำกับที่มีฐานแฟนคลับแน่นไม่ต่างจากลัทธิ Nolanlism แน่ๆ



ปีนี้เขามาพร้อมกับภาพยนตร์เรื่องใหม่อย่าง Gone Girl ซึ่งสร้างจากนิยายขายดีของ Gillian Flynn ในชื่อเดียวกัน และ Flynn ยังรับหน้าที่เขียนบทเองอีกด้วย (ไม่ต้องกลัวว่าหนังจะแร็ปเหมือนใน The Social Network) หากจะถามว่า ควรอ่านตัวนิยายก่อน หรือรับชมก่อน มีนักวิจารณ์หนังชาวไทยเรา ให้คำตอบไว้ในทวิตเตอร์ว่า อ่านก่อนน่าจะดีกว่า เพราะองก์ที่สามของหนังต่างจากหนังสือ ยังไงเสียมันก็ไม่ใช่การสปอยหนัง แต่ด้วยเวลากระชั้นชิด ผมเลือกที่จะไปรับชมตัวหนังก่อน และหยังผิดคาดมากจากตัวอย่างและทิศทางการโปรโมต แต่นับเป็นความเซอร์ไพร์สในแง่บวก

องก์แรก หนังจะพาเราไปรู้จักกับตัวละครคู่สามีภรรยา เป็นการปูเรื่องถึงความสัมพันธ์ของตัวละคร รวมถึงการหายไปของภรรยา Amy Dunne ในช่วงองก์แรกนี้หนังจงใจอย่างมากในการโน้มน้าวใจคนดูอย่างชัดเจน จนเกือบเป็น Propaganda เลยล่ะ โดยหนังโยนความผิดทั้งหมดไปที่ฝ่ายสามี Nick Dunne โดยเล่าคู่ขนานระหว่างเรื่องราวในปัจจุบันและอดีตผ่านตัวอักษรบนหน้ากระดาษไดอารี่ของ Amy Dunne ซึ่ง Nick Dunne และ Amy Dunne เคยรักกัน ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่มีความสำคัญมาก เพราะหากหนังทำให้คนดูเข้าไม่ถึงความรู้สึกของตัวละครแล้ว เท่ากับว่า อีกสององก์ที่ตามมาคือล้มแน่ๆ แต่หนังกลับสามารถทำได้อย่างดี การสังเกตการณ์ความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาคู่นี้ ไม่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากก็รู้ว่า มันไม่ชอบมาพากล


องก์สอง หนังก็สางปมที่ได้สร้างขึ้น แต่นั่นมันไม่สำคัญเพราะสิ่งที่ตามมากลับทวีความเข้มข้นขึ้น กลายเป็นการขับเคี่ยวกันของ สองสามี ภรรยา แทบจะเป็นสงครามขนาดย่อมๆกันเลยทีเดียว ยิ่งมีกองทัพตำรวจ นักข่าวสื่อมวลชนให้ความสำคัญในคดีหายตัวนี้ด้วยแล้ว หลังจากในองก์แรกที่เรายืนหยัดอยู่ฝั่ง Amy Dunne แต่พอถึงจุดหนึ่งเรากลับ เคว้ง ไม่รู้จะยืนอยู่ฝั่งไหน คงเป็นความสนุกของคนทำหนังที่ได้ใส่มุกตลกแสบๆคันๆมาให้คนดูได้ดิ้นพล่าน กันอย่างครึกครื้น ทั้งแง่เป็นคู่ผัวตัวเมียกัน เรื่องของสื่อที่ในปัจจุบันมีอิทธิพลยิ่งกว่าสิ่งใดๆ

องก์สาม ยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม หนังในองก์สามนี้แทบจะเป็น การปล่อยของ โดยสิ้น แม้หนังจะสื่อออกมาในแง่ ตลกร้าย แต่กลับแฝงความเศร้า การล่มสลายของสิ่งที่เรียกว่า ครอบครัว เอาไว้ และเชื่อว่า ฉากจบคงทำให้ใครหลายคนหลอน หันไปมองคนข้างๆพลางตั้งคำถามในใจว่า "พอได้รู้จักกันจริงๆแล้ว เรายังรักกันเหมือนวันแรกไหม ?"


หนังมีโอกาสจะได้ชิงรางวัลใหญ่ๆ ปลายปีอะไรบ้าง โดยส่วนคิดว่า หลายรายการอยู่ ที่ไม่ต้องสงสัยเลย คือ ออสการ์นำหญิงปีนี้ ต้องมีชื่อเธอคนนี้แน่ๆ Rosamund Pike ไม่เพียงเป็นการประกาศตัวว่า ฉันเป็นดาราหญิงคุณภาพอีกคนของวงการนะ อย่าลืม ! แต่ เธออาจคว้าออสการ์ไปนอนกอดโดยไม่ต้องแย่งชิง ตบตีกับใครเลย Ben Affleck การแสดงพี่แกอาจไม่ได้ทำให้หลายคน



วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

When I got to The Book Expo Thailand 2014

ไม่ค่อยมีเวลามาเขียนเรื่องราวนู่น นี่นั่น สักเท่าไหร่ พยายามจะหาเหตุผล แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นข้ออ้างเสียมากกว่า เลยพยายามจะไม่คิดถึงมัน ก็เพราะมันเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวไม่ใช่น้อย เมื่อต้องมาหาข้อแก้ตัว



เคยบอกกับคนอื่นว่า การบันทึกเรื่องราวเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเมื่อใดที่ได้ย้อนกลับมาอ่าน มันจะทำให้เรารู้ว่า เราผ่านอะไรมาบ้าง หกล้มให้กับสิ่งใด หรือโบยบินไปในที่ใดมาบ้าง แต่เราเองกลับทำไม่ได้อย่างที่บอก

ก่อนจะเถลไถลพายเรืออกไปจนตกขอบโลก เลยขอเขียนถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อกี่วันก่อนอย่าง งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 19 (Book Expo Thailand 2014) จัดขึ้น ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในระหว่างวันที่ 15 - 26 ตุลาคม 2557 ซึ่งการเดินทางจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิตไปถึงที่นั่น แม้จะไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ไม่ง่าย มากนัก การเดินทางหากไปลำพังอาจ หว่าเว้ โชคดีที่ทั้งสองครั้งที่ได้ไปเยือนงานนี้มีมิตรสหายร่วมติดสอยห้อยตามไปด้วย(อันที่จริงเราน่าจะเป็นคนที่ติดสอยห้อยตามซะมากกว่า) การเดินทางคือขึ้นรถตู้ ต.118 ไปลงที่ BTS หมอชิต แล้วใช้บริการของ MRT ณ สถานีจตุจักร(สถานีเดียวกันแต่ใช้ชื่อต่างกันทำไมหนอ BTS กับ MRT เนี่ย ?) นั่งยาวกว่า 10 สถานี กว่าจะถึงปลายทางอย่างศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์



เริ่มที่ Salmon หนังสือของเจ้านี้นั้นต้องยอมรับว่าตีตลาดคนGenใหม่มากๆ หนังสือก็ไม่ได้มากมายหลากหลายแนวเหมือนมติชน แต่ต้องยอมรับว่าเค้ามาแรงจริงๆ เพราะคนแน่นขนัดร้านเท่านั้นไม่พอ ยังมี Magazine น่ารักๆ free copy ให้เหล่าคนที่เดินไปมาหยิบไปอ่าน ผมก็เข้าไป น่าจะเรียกว่าปรี่ไปจะเข้าท่ากว่า แต่แล้วก็ไม่ได้ซื้ออะไรติดมือมา ฮา! เพราะยังไม่เจอหนังสือที่แบบว่าโดนจริงๆ ตอนแรกก็เกือบหยิบ The Real Alaska มาอ่าน เพราะติดใจกับ New York 1st Time อันเป็นงานเขียนของพี่เบนซ์ ธนชาติ(ซึ่งเป็นรุ่นพี่ในคณะอีกด้วย) แต่สุดท้ายก็ไม่ได้หยิบ (ซะงั้น มาตอนนี้รู้สึกผิดอยากตีมือตัวเองแรงๆ)  ก็ไปต่อกันที่สำนักพิมพ์ Gamme หรือที่เรียกว่า กำมะหยี่ นะล่ะ พูดถึงสำนักพิมพ์เจ้านี้ต้องนึกถึง เฮียมู ฮารูกิ มูราคามิ ซึ่งส่วนตัวก็สอยมา ไตรภาคมุสิก หนังสือในตำนาน เรื่องราวของ ชายหนุ่ม ส่วนตัวถูกจริตกับนิยายของแกมาก คงเป็นเพราะชอบดูหนังของ เฮีย หว่อง คาไหว ด้วยล่ะมั้ง นิยายมึนๆอึนๆ อ่านแล้วอาจไม่เข้าใจตัว Message แบบกระจ่าง แต่ความคลุมเครือกลับชัดเจนในคำตอบ 




จากนั้นก็ลากตัวเองพร้อมกระเป๋าตังค์แฟบๆ ออกมาจากร้านด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ไปต่อกันที่ a book หยิบ โปรดอ่านใต้แสงเทียน เพราะผมเขียนใต้แสงดาว มาโดยไม่ต้องคิดมาก แต่ที่สะดุดตาไม่ต่างกันคือ ซุ้ม Asia Book ฝั่งตรงข้ามก็น่าสนใจไม่น้อย เข้าไปด้อมๆมองๆ ได้ The Fault In Our Stars มาอีกเล่ม แม้จะชั่งใจอยู่นาน แต่ส่วนตัวก็ยังอยากรับรู้เรื่องราวผ่านตัวอักษรบนหน้ากระดาษดูบ้าง   

ตรวจดูเงินในกระเป๋า หมดไปแล้ว พันนึง คิดว่าคงพอแค่นี้ แม้ว่าระหว่างเดินกลับไป MRT จะเจอหนังสืออีกหลายเล่มที่อยากได้มาครอบครอง มากก็ตาม เหตุการณ์คงจบง่ายๆลงแบบนั้น แต่เมื่อก้าวออกมาจาก Asian Book สายตาก็ดันไปสะดุดกับชายคนหนึ่ง อ้าว นี่มันพี่เก้ง จิระ มะลิกุล นี่! นาทีนั้น มันเกิดขึ้นเร็วมาก นอกจากจะรีบขอถ่ายรูปด้วยอาการเลิกลั่ก พร้อมบอกกับพี่แกว่า ชอบ GTH มาก อยากไปทำงานกับ GTH (เอ่อ เอาสิ บอกแกทขอดื้อๆแบบนี้เลย) พี่แกก็ดูจะอึ้งๆกับการกระทำที่ล้นเหลือ ก่อนจะลากันไป  ก็ไปเจอมุมพบนักเขียนซึ่งในวันนั้นเป็นคิวของ พี่แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข เราก็เลยหยุด เพื่อรอชื่นชมตัวพี่แก เป็นอันหมดภารกิจ เว้นเสียแต่ว่า คืนนั้นมีภารกิจต่อ นั่นคือ ไปดูหนังเรื่อง Gone Girl(ซึ่งจะเขียนรีวิวไว้อีกที ภายหลัง)

แล้ววันอาทิตย์ที่ 26 ก็มีเหตุจำเป็นอย่างมาก (มากที่ว่านี่ มากแค่ไหน ข้ออ้างชัดๆ) คือเพื่อนคนหนึ่งชวนไป ไอ้เราก็เบื่อๆ ไม่มีอะไรทำ ก็โอเค ไปก็ไป  โดยที่เงินในกระเป๋ามีไม่ถึง 500 บาท แหมะ ก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นนี่หนา การเดินทางในวันนั้น เราเดินทางไปพร้อมกับเมฆฝนที่ตั้งเค้า ไม่ถึงครึ่งทาง ฝนก็เริ่มปรอยลงมา เย็นดีนะ แม้จะเป็นวันสุดท้ายของงานแต่คนก็ดูไม่คึกคักอย่างที่มันควรจะเป็น สงสัยคงหมดเงินกันไปเยอะล่ะ เพื่อนผมถึงขนาดบอกว่า ไปงานมหกรรมหนังสือ เหมือนโดนปล้น ผมเห็นด้วย และเป็นการปล้นที่เราสมยอมเสียด้วยสิ วันนี้เดินแบบไม่มีจุดหมาย เดินไปเรื่อยๆ ระหว่างทางเจออีกแล้ว พี่โอม ปัณฑพล ประสารราชกิจ นักร้องนำวง Cocktail กับเพลงเพราะติดหู อย่าง “เธอ” แต่ไม่ทันได้ขอถ่ายรูปหรืออะไรทั้งนั้น พี่แกเดินเร็วเกิน(เร็วมาก อย่างกับการ์ตูน Looney Toons) เดินไปมา ก็ไปสะดุดเข้าให้กับสำนักพิมพ์ไต้ฝุ่น โอ้โห เจอพี่คุ่น ปราบดา หยุ่น กำลังแจกลายเซ็น ผมนี่ไม่รอช้า รี่ไปหยิบหนังสือมาเล่มหนึ่งแบบไม่ต้องคิดพะวงหน้า พะวงหลัง “ชิทแตก” อยู่ในมือและยังเป็นเล่มสุดท้ายอีกด้วย พี่แกบรรจงเซ็นให้เสร็จสรรพ พร้อมกล่าวขอบคุณที่เป็นแฟนหนังสือพี่แก แค่นี้ก็ฟินสุดๆแล้ว เดินต่อไปเรื่อยๆ เจอซุ้มของพี่นิ้วกลมอีก อะไรมันจะครึกครื้นเพียงนี้ แต่ไม่ได้อุดหนุนพี่นิ้วกลม ก็พกเงินไปแค่ 500 ถ้าต้องไปกดเงินก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเพียงแต่ SMS จะส่งไปที่มือถือของแม่ แล้วแม่ก็จะถามว่า ถอนเงินไปไหนอีกแล้ว ? เรื่องคงถูกต่อยอดไปอีกยาว ทางออกที่ดีคือขอยืมเพื่อนเพิ่มอีก 500 (ไม่ใช่แค่การปล้นล่ะ เป็นการปล้นเพื่อนอีกต่างหาก)



การมางานหนังสือต่างจากการไปเดินซื้อในร้านหนังสือยังไง หากบอกไปคงไม่ใช่สรรพคุณ คงเหมือนกับการ Propaganda เสียมากกว่า แต่การได้มาเจอ(ยิ่ง บังเอิญเจอ ด้วยแล้ว มันเป็นอะไรที่ประทับจิตมากๆ)นักเขียน หรือใครก็ตามที่เราคอยชื่นชม มันเป็นอะไรที่รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่ามื้ออาหารหลังจากนั้นจะเป็นเส้นมาม่าติดต่อกันไปหลายสิบมื้อก็ตาม
สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ นอกจากจะได้หนังสือดีๆ เจอเหล่าคนดัง นักเขียนตัวเป็นๆให้เราได้จับต้องด้วยแล้ว สิ่งสำคัญคือคนที่เราพาไปด้วย หรือคนที่เราไปกับเขา ยิ่งถ้าเป็นคนพิเศษด้วยแล้ว ผมว่าการได้แลกเปลี่ยนหัวข้อหนังสือที่ต่างคนต่างชอบให้กันฟัง มันเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ดูไม่ค่อยโรแมนติก แต่สวยงามอย่างบอกไม่ถูก ทั้งยังเป็นการได้ทำความรู้จักตัวตนของคนนั้นๆ ในอีกแง่มุมหนึ่งด้วย เคยมีใครคนหนึ่งบอกไว้ว่า “เราสามารถรู้จักคนคนนึงได้จากหนังสือที่เขาอ่าน เพลงที่เขาฟังและภาพยนตร์ที่เขาดู” ก็ได้แต่ภาวนาและหวังว่า ในวันนึงจะได้จับมือกับคนพิเศษมางานพิเศษๆแบบนี้ดูบ้างสักครั้ง   


วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

รีวิว The Maze Runner ในรูปแบบ 4DX

รีวิว The Maze Runner ในรูปแบบ 4DX



วันก่อน (20/09/2014) เราได้ไปดู The Maze Runner มา จริงๆก็คิดเอาไว้ว่าจะดูรอบปกติน่ะแหละ เพราะฟอร์มหนังก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดที่จะต้องลงทุนดูแบบ 4DX เพื่อเปลืองกะตังค์ แต่โชคดีที่เรามี Gift Voucher และมันก็ใกล้หมดอายุแล้วด้วย เลยตัดสินใจใช้กับหนังเรื่องนี้ รวมแล้วเสียแค่ค่า VAT ไป 60 บาทเป๊ะ หนังเรื่องนี้จึงมีสถานะเป็นการดูหนังในระบบ 4DX เรื่องแรกในชีวิต(ฟังดูยิ่งใหญ่ดีจัง) 

เรายังไม่เคยอ่านตัวนิยายนะ เลยไม่รู้รายละเอียดที่อยู่นอกเหนือจากภาพยนตร์ไม่รู้ว่า เค้าตัดทอน เสริมแต่งดัดแปลงจากต้นฉบับมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าเอาตัวหนังเป็นตัวหลักแล้วล่ะก็ รู้สึกว่าบทหนังดูไม่ค่อยมีเนื้อหามากนัก จริงอยู่ว่าเนื้อเรื่องเต็มไปด้วยปริศนาแต่ประเด็นที่จะกล่าวคือ หนังไม่ได้พยายามเฉลยปมปริศนานั้น เมื่อถึงตอนจบ หนังก็ไม่ได้เฉลยเรื่องราวอะไรมากนัก และหนังก็สร้างปมต่อมาซึ่งใหญ่กว่าเดิมเป็นทายาท เพื่อบอกกับคนดูว่า "รอดูเฟสสองนะจ๊ะ" 
หนังห่วยไหม ไม่ห่วยเลย หนังสนุก และดูดีมีชาติตระกูลแม้สถานะจะไม่แกร่งเท่า The Hunger Games แต่ที่แน่ๆคือ The Maze Runner เป็นอีกหนึ่งว่าที่โปรเจคภาคต่ออันทรงคุณค่า ที่จะได้ทั้งเงินทั้งแฟนคลับอย่างอุ่นหนาฝาคลั่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแน่นอน ส่วนตัวมองว่า The Maze Runner มีความเป็นออริจินที่น่าสนใจมากๆ ที่ทำให้มันแตกต่างจาก Harry Potter, Twilight, The Hunger Games หรือ Divergent คือหนังเน้นแนวทางระทึกขวัญ มีกลิ่นทริลเลอร์ ติดมาด้วยนิดๆ และที่ค่อนข้างชอบเลยคือ ตัวละคร ที่แม้มันจะไม่ได้ดูโดดเด่นอะไร แต่ในความธรรมดาคือน่าจดจำ The Simple is the best นี่เป็นหนังเรื่องแรกของผู้กำกับ Wes Ball ซึ่งเราถือว่า เค้าสอบผ่านนะ ยิ่งเทียบกับทุนสร้างแล้วมันออกมาดีที่เดียว 



ที่อยากจะเม้ามอย คือระบบ 4DX จ้าาาาา เราไม่รู้ว่ามันทำให้การดูหนังสนุกขึ้นจริงหรือไม่ สำหรับเด็กวัยรุ่นอาจชอบ(จริงๆเราก็วัยรุ่นนะ ปีหนึ่งเอง) แต่กับคนที่มีอายุอานาม การดูหนัง 4DX คงไม่ต่างจากหายนะ เพราะสิ่งที่เค้าโฆษณานั้น มันทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยล่ะ ถ้าคุณแต่งหน้าจัดๆไปให้รู้เลยว่า บะอองน้ำจะทำให้หน้าคุณเลอะแน่ๆ ถ้าคุณเป็นคนขี้ตกใจคุณจะยิ่งกว่าเสียขวัญเพราะช่วงฉากแอ็คชั่นนี่ พี่แกโยกมาเป็นชุดจ้าาา ไม่เท่านั้นนะ ในหนังมันจะมีฉากที่พระเอกโดนต่อย นู่นนี่นั่น เก้าอี้ก็ต่อยคุณด้วย อารมณ์เหมือนนั่งเก้าอี้นวด เออ สนุกดีออก 



อีกอย่างคือ เอฟเฟกส์เหล่านี้มันจะทำให้คุณตกใจและเสียสมาธิกับการดูหนังค่อนข้างมาก เพราะมันจะเรียกร้องความสนใจ แทนที่เราจะเอาใจช่วยตัวละครในเรื่องคุณอาจต้องมาห่วงพะวงว่า เฮ้ย เก้าอี้มันจะโยกป่ะ**มันจะหมุนป่ะ** มันจะต่อยกูไหม ลมจะพัดมาตอนไหน เดี๋ยววิกปลิว เฮ้ยนี่มันกลิ่นเชี่-----ย ไร** เหม็นฉิ---บ แล้วที่เราบอกว่ามันโยกอ่ะ มันไม่ใช่โหยกแบบ เบาๆๆนะ มันเหวี่ยงอ่ะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ช่วงฉากแอ็คชั่นนี่คือ มันส์จริงๆๆแบบ เดินออกจากโรงมาแทบต้องจับหัวตัวเอง กว่าหัวหลุดจากบ่า รอบที่ไปดูมีประมาณ 20 กว่าคน เราก็มองไปรอบๆๆ เออ มีพี่คนหนึ่งกำลังบิดรูปคอตัวเองให้เข้าทรง คงไม่มีเราคนเดียวที่รู้สึกว่า เออ** เห----ยด นี่ขนาดดู The Maze Runner นะ ถ้าเป็นพวก Transformers: Age of Extinction, Teenage Mutant Ninja Turtles จะขนาดไหน**เนี่ย ? 



สรุปวัดจากตัวหนังเพียวๆเราว่า มันก็ดีในระดับนึงเลยล่ะ ไม่รู้สึกว่าเสียดายตังค์ ส่วนตัวให้เกรด B แนะนำให้ดูเลยล่ะ สนุกกว่า divergent แต่ยังไม่ถึง THG ส่วนระบบ 4DX นั้น คงแล้วแต่บุคคล เราว่านานๆเปลี่ยนบรรยากาศไปดูอะไรที่มันแรงๆๆมากก็สนุกดีนะ แม้ว่าค่าตั๋วเต็มๆของ 4DX จะมหาโหดก็ตามที

Road To Oscar "รีวิว BoyHooD"

BoyHooD

จำเรื่องราวของเมื่อวานได้ไหม ? 




คงไม่ต้องมานั่งสาธยายถึงสรรพคุณ ความงามของหนังเรื่องนี้ให้เสียเวลาว่ามันวิเศษ วิโสยังไง ว่ามันมีดะไรนักหนา ทำไมต้องไปดู เพราะเชื่อว่า ใครก็ตามที่กำลังอ่านอยู่คงมีเหตุผลส่วนตัวเป็นคำตอบในใจอยู่แล้ว 



แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ความมหัศจรรย์เบื้องหลังของหนังที่ผมตามอ่าน ตามเก็บมาก็มีความน่าสนใจไม่แพ้ภาพที่ปรากฏขึ้นบนจอ หนึ่งเลยที่ทุกคนรู้ดีคือ หนังเรื่องนี้ใช้เวลาในการถ่ายทำยาวนานกว่า 12 ปี ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครทำ และใครที่คิดทำคงบ้าไปแล้วแน่ๆ ลำพังแค่การทำหนังสักเรื่องออกมาก็มีเรื่องให้ต้องปวดหัวอยู่แล้ว แนวคิดเดิมของหนังคือตัวผู้กำกับ Richard Linklater มีลูกสาวและเกิดกังวลใจในอนาคตข้างหน้า ไอเดียนี้จึงค่อยๆก่อรูปร่างขึ้นมา (ซึ่งลูกสาวของเค้าก็คือพี่สาวของเมสันในเรื่อง) หนังใช้เวลาราว 12 ปี นับตั้งแต่ปี 2002 ถึงปลายปี 2013 การเขียนบทก็ไม่ได้ขีดกรอบไว้นัด แต่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะของนักแสดงหลักเป็นใหญ่ Ellar Coltrane คือคนที่ว่า การได้เห็นเหล่านักแสดงในหนัง เติบโต ไปตามกาลเวลานับว่าเป็นเรื่องที่แสนมหัศจรรย์ อีกรูปแบบหนึ่ง ทุกตัวละครในเรื่องต่างมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ และสำหรับผมมันเป็นเรื่องสนุกนะ สนุกกว่าการนั่งดูหุ่นยนต์ซัดกันอุตลุตเสียด้วยซ้ำไป




Boyhood พาคนดูย้อนกลับไปยังอดีต (รู้สึกพักหลังๆจะมีหนังแนว retro ไม่ก็พูดถึง Time ออกมามากมายเหลือเกิน ไม่รู้เป็นความบังเอิญหรือไร) จากนั้นเราก็ค่อยๆเคลื่อนผ่านกาลเวลาตามมา เราจะรู้สึกร่วมกับตัวละครอย่างแน่นอน ผ่านบทที่ถูกเขียนขึ้นมาอย่างเรียบง่าย มันต้องเชื่อมโยงถึงชีวิตคนดูบ้างไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง(แม้บริบทจะเป็นฝรั่งจ๋าก็ตามที) รวมทั้งเหตุการณ์สำคัญๆในโลกของ Boyhood ต่างก็เป็นหลักไมล์ชั้นดีให้เราหวนนึกถึงวันวานนั้นขึ้นมา การที่หนังแทรกสอดเหตุการณ์ร่วมสมัยเข้ามา ไม่รู้ว่าจงใจหรือบังเอิญ มันกลับมีนัยยะบางอย่างต่อตัวหนัง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าคิวเพื่อรอซื้อหนังสือ Harry Potter, การเลือกตั้งใหญ่ของสหรัฐ, เทคโนโลยีในท้องเรื่อง เป็นต้น ที่สำคัญไม่ต่างกันคือ Sound และ Score ที่ถูกใช้ในหนังเป็นมากกว่าการใส่เข้ามาประกอบเรื่องราว หากแต่มันคือ นาฬิกา บอกเวลาอย่างเที่ยงตรง แม้จะมีความยาวเกือบร่วมสามชั่วโมง แต่กลับไม่มีช่วงไหนที่ทำให้เรารู้สึกว่า มันเยอะเลย เช่นที่ได้บอก หนังมันดึงดูดในตัวมันเองอยู่แล้ว ใครที่เคยเสพผลงานผู้กำกับรายนี้มาแล้ว คงพอเข้าใจ signature ของแกว่ามันมีทิศทาง สไตล์ไหน 




บนโลกนี้มีหนังมากมายหลายเรื่อง แต่ค่อนข้างมั่นใจว่า Boyhood มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ที่อยากให้หลายคนลองรับชม หากมีโอกาสได้รับชมในโรงใหญ่ยิ่งดี คิดดูว่ามันจะวิเศษแค่ไหน เมื่อวันเวลาผ่านไป คุณได้ไปบอกเล่ากับคนรุ่นหลังว่า ?ผมเคยซื้อตั๋วหนังเรื่อง Boyhood ดูด้วยล่ะ? 



สารภาพตามตรงว่าตอนที่ดูจบ ผมก็ไม่รู้จะเขียนถึงหนังเรื่องนี้ในแง่ไหน เพราะสิ่งที่อยู่ในหนังมันช่างแสนธรรมดา แต่กับยิ่งใหญ่เหลือเกินในความทรงจำ ?เวลาทำให้เราเติบโต แต่อาจไม่ได้ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น? บทสนทนาในท้องเรื่องช่างน่าสนใจ คล้ายมีใครสักคนมาเล่าเรื่องชีวิตให้กับคุณ ชีวิตคืออะไร หนังอาจไม่ได้ให้คำตอบมากนัก รู้แค่ว่าเรามีชีวิต ชีวิตเป็นของเรา ไม่ใช่ของใคร จงทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่า แล้วในวันหนึ่งจะมีคนมองเห็นคุณค่าในชีวิตเรา 



A+

สนับสนุนให้ Richard Linklater ได้รับรางวัลออสการ์สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557

I was 'Lost' : Norwegian Wood (2010)

มีความแตกต่างระหว่างบรรทัดในหนังสือกับภาพบนแผ่นฟิล์ม และไม่ยากเลยที่จะบอกว่าชอบตัวนิยายมากกว่า ราวๆ ร้อยเท่าตัว


ผมเป็นแฟนหนังสือของเฮีย ฮารูกิ มูราคามิ แบบว่าหลงใหล ชอบ หลื้มที่สุดเป็นนักเขียนที่ชอบที่สุดแล้ว ถ้าไม่นับนิ้วกลม กับ พี่คุ่น ปราบดา หยุ่น และถ้าจะให้แนะนำว่าใครควรดูหนังเรื่องนี้(หรือแม้กระทั่งเริ่มต้นอ่านนิยายของมูราคามิ)แล้วล่ะก็ คนนั้นควรจะมีรสนิยมเดียวกับที่ชอบหนังของ หว่อง คาไหว



ความแตกต่างที่ชัดเจนของนิยายและภาพยนตร์ ตั้งแต่ตอนที่ผมรู้ว่าจะมีการสร้างหนังเรื่องนี้(ซึ่งแน่นอนเฮียมู ไม่ยอมให้ลิขสิทธิ์ ซึ่งผมค่อนข้างเห็นด้วย)เพราะตัวนิยายมันยากต่อการถ่ายทอดโดยใช้กลวิธีอื่นที่ไม่ใช่ตัวอักษร ตัวนิยายเองก็ใช่ว่าจะมีจุดไหนพีค มันเดินเรื่องในแบบ เบลอๆ คล้ายมีหมอกบางๆมาเคลือบภาพในความคิดของเราไว้ขณะที่อ่าน ไปจนถึงบทสนทนาที่ดูเฉพาะ แน่นอนฉากเซ็กซ์โจ่งครึ่ม แต่พอขึ้นจอภาพยนตร์แล้ว สิ่งเหล่านั้นมันถูกริบทอนไปจนสั้นเตียน ไปจนถึงไม่ถูกกล่าวถึงเลยด้วยซ้ำ นิยายว่าไม่ชัดเจนแล้ว ตัวหนังยิ่งไม่ชัดเจนเข้าไปใหญ่ ใครที่ไม่ได้อ่านนิยายมาก่อน คือ ไม่มีทางจะเข้าใจความรู้สึกของตัวละครได้อย่างสมบูรณ์แบบแน่ๆ ขนาดผมที่ว่าเป็นแฟนหนังสือยังจับอารมณ์ไม่ได้เลย



แต่ถ้าถามว่า หนังมันแย่มากหรือ ผมตอบเลยว่าไม่แย่ ถึงระดับที่ว่าสารมารถพาหนังไปแวะเที่ยวตามเวทีล่ารางวัลได้สบายๆเลย นั่นเป็นผลมาจาก ต้นฉบับ ที่ดีอยู่ก่อนแล้ว รวมทั้งความสามารถของผู้กำกับ นักแสดง ที่ได้ขยับขยายมันออกไป ผมชอบการใส่สัญลักษณ์ทางภาษาหนังเข้ามา ของ Tran Anh Hung ผู้กำกับ มันดูกลืนไปกับหนัง ไม่ดูโดดจนเรารู้สึกว่ายัดเยียด อย่างฝนตกในคืนวันเกิดของนาโอโกะ ก็แสดงให้เห็นถึงความเสียใจและสับสนของเธอที่สูญเสียแฟนที่รักไป โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพราะเหตุใด และยังตองมารู้สึกหลงรักเพื่อนสนิทอีก บ้านที่ดูเปลี่ยวเหงามิโดริ ฉากที่วาตานาเบะได้รับจดหมายแล้ววิ่งขึ้นบันไดกล้องก็จับภาพแล้วหมุนวนเป็นวงกลมคล้ายกับต้องการจะบอกว่าชะตาชีวิตของตัวละครนี้ไม่มีทางหลุดออกไปได้แน่ๆ มีฉากที่กล้องจับไปยังอาคาร บ้านเรือนที่เป็นประตู หน้าต่าง ที่ถูกปิดเอาไว้ก็ล้วนแล้วแต่ตอกย้ำสถานะของตัวละครได้เป็นอย่างดี ช่วงท้ายของหนังคลื่นทะเลที่ซัดเข้าฝั่งก็ไม่ใช่ความบังเอิญของผู้สร้างแน่ๆ หากคือการสื่อสารในอีกระดับหนึ่ง



อีกส่วนที่โดดเด่นคือนักแสดง Ken'ichi Matsuyama คุ้นหน้าคุ้นตากันดีจากบทบาทนักสืบบุคลิกแปลกสุดขีดใน Death Note กับบทบาท L เขาถ่ายทอดบทบาทของ Toru Watanabe ได้ดีมากเลยนะ ตามความคิดผม จริงๆนักแสดงนำทั้งสามคน Rinko Kikuchi และ Kiko Mizuhara ก็ดีมากเท่าๆกัน เสียดายก็แต่ Kiko ที่ดูบทบาทจะหายไปค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับตัวนิยาย ส่วน Rinko ไม่พูดถึง เพราะนางข้ามมาเล่นหนังฮอลลีวู้ดเต็มตัวแล้ว



ทางด้านของ Score นั้น ผมจำไม่ค่อยได้แล้ว แต่ก็พอรู้สึกว่าไม่ได้รู้สึกดีหรือแย่ พูดง่ายๆคือไปกันได้ระดับพอเหมาะ พอควรกับตัวหนัง ในที่สุดแล้ว คนที่จะชอบหนังเรื่องนี้ย่อมต้องหลงใหลในตัวนิยายมาก่อน ผมว่าคนที่กระโจนมาดูหนังก่อนเลย อาจรู้สึกสับสนในการกระทำบางอย่างที่ดูไม่ค่อย make sense เท่าไหร่ และแน่นอน ผมชอบนิยาย จึงไม่แปลกที่ผมจะรู้สึกสนุกไปกับสิ่งที่เห็นบนจอ แม้ว่ามันจะห่างขั้นจากตัวนิยายมาก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมหนังเรื่องนี้อยู่ในใจ


"ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน" ถ้ามีใครถามประโยคนี้กับคุณ คุณตอบเขาได้ไหม ว่าอยู่ที่ไหน คุณรู้ตัวรึเปล่า ว่าคุณกำลังทำอะไร อยู่ในดินแดนแห่งไหน คุณพร้อมจะอยู่กับเขาคนนั้นรึยัง #จะบอกว่านิยายตีพิมพ์ใหม่แล้วนะ ของสำนักพิมพ์กำมะหยี่

วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557

(Review)คนขี้เห่อ แกะกล่อง Box set Mary is Happy, Mary is happy



Prologue
เกริ่นก่อน เนอะ ผมกไม่ได้ตั้งกระทู้มานานล่ะ ไม่รู้จะสรรสาระอะไรดี กระทั่งเมื่อวันก่อน(last week เลยล่ะ) ได้มีโอกาสได้ดูหนังที่เป็น phenomenon ของปลายปีก่อนลากมาถึงต้นปี คือหนังเรื่อง Mary is Happy, Mary is Happy ผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องยาวลำดับที่สองของคุณ เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ขอเรียกว่า พี่เต๋อล่ะกัน สะดวกดี 

ปรากฏว่าหลังจากได้ดู คือ ผมชอบมาก  ชอบที่สุดของหนังปี 2013 เลยล่ะ น่าจะเป็นครั้งแรกเลยนะ ที่ list หนังส่วนตัวอันดับหนึ่งเป็นหนังไทย หนังมันดีอะไรยังไง เชิญชม trailer version ถ้ายังไม่มาดูกันอีกก็ไม่รู้จะทำไงละ
http://www.youtube.com/watch?v=CnbPf5g6oNM


ต่อไปนี้ข้ามได้ ถ้าใครไม่อยากอ่าน เป็น ความเห็นที่ผมมีต่อหนังเรื่องนี้ 

ยินดีต้อนรัก? 

ชื่อของพี่เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ วนเวียนอยู่กับเครดิตหนังดัง GTH หลายเรื่อง กระทั่งมาถึงผลงานกำกับ ?มั่นใจคนไทยเกินล้านเกลียดเมธาวี? ที่ฉายในนามบันทึกกรรม ทางช่องสาม เมื่อหลายปีก่อน ผมเองได้ดูแล้วชอบมุมมองการนำเสนอที่แปลกและสดใหม่มากๆ จากนั้นก็มาถึงหนังยาวเรื่องแรก 36 สารภาพว่าผมไม่ได้ดู กระทั่งไม่รู้ว่าจะไปหาดูได้จากที่ไหน(แน่นอนว่าการอยู่ต่างจังหวัดเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หากไม่มีการปล่อยลงโลกออนไลน์) แต่กิตติศัพท์ของหนังเรื่องนี้กลับเลื่องลือ 

เมื่อปลายปีก่อนก็เกิดกระแสขึ้นอีกเมื่อภาพยนตร์เรื่องยาวผลงานกำกับของพี่แกเข้าฉาย Mary is happy, Mary is happy กับการเป็นภาพยนตร์ที่แปลกทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เบื้องหลังคือการทำงานที่บทภาพยนตร์ถูกนำมาจากข้อความบน twitter ของ user นาม แมรี่ มาโลนี่ จำนวนทั้งสิ้น 410 ทวีต ที่เหนือชั้นกว่านั้นคือการล้อมกรอบไม่มีการตัดทอนข้อความใดๆออก นั่นยังไม่พอ ตลอดการทำงานจนกระทั่งหนังออกฉายเจ้าของทวีตและผู้กำกับไม่เคยพบปะ พูดคุยกันเลย ฉะนั้นแล้ว ข้อความบนทวิต จึงถูกจินตนาการของผู้กำกับสร้างสรรค์ออกมาเป็นโลกที่ทุกคนจะไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน เบื้องหน้า หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องพร้อมๆกับการขึ้น ?ตัวอักษร? ที่ถูกทวิต จำนวน 410 ดังนั้นหนังความยาวสองชั่วโมงกว่าเรื่องนี้ จึงไม่ต่างอะไรจากการนั่งอ่านทวีตรวดเดียว เพียงแต่การดูหนังนั้นจะให้ภาพที่ชัดเจน(?) มากขึ้น 

ความพิเศษอีกส่วนคือ ข้อความเหล่านั้น มักเป็นข้อความในแบบที่เปิดกว้างทางความคิด ไม่ใช่คำคมโดนๆ แต่หากเป็นเหมือนชิ้นส่วนทางความคิดที่ผุดขึ้นมาในช่วงเวลาๆนั้น การตัดต่อที่ดูหุนหันพลันแล่น คล้ายจะไม่มีlineหลักให้จับต้อง ส่งผลให้ภาพในหนังดูแฟนตาซีแต่ไม่หลุดโลก ตั้งแต่เครื่องแต่งกายของนักแสดงที่ใส่ชุดพละตลอดเวลา(แต่เป็นชุดที่โคตรเจ๋งเลย) โรงเรียนที่ดูว่างเปล่า เงียบเหงาหากแต่ทับซ้อนด้วยเหลื่อมมุมของตัวอาคารไม่ต่างจากจิตใจของตัวละครที่ดูวกวนพอๆกัน การใส่ประเด็นทางการเมืองผ่านทางตัว ผ.อ. คนใหม่ของโรงเรียนซึ่งดูเหมือนไม่มีตัวตน(ก็ตลอดทั้งเรื่องเราไม่เคยเห็นตัวตนของแกปรากฏเลย) แต่ทุกคนสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของบุคคลนี้ ทั้งภารกิจที่ตัวครหลักของเรื่องต้องทำคือหนังสือรุ่นแสน minimal (less is more) จนตอนหลังันถูกแปรสภาพไม่ต่างจาก textbook หน้าตำคร่ำครึ คล้ายคัมภีร์ศาสนาที่ไม่น่าดึงดูดใจแม้แต่น้อย หรือด้านความรัก เอ็ม ชายหนุ่มประหลาดที่มักปรากฏตัวข้างร้านโตเกียวบนรางรถไฟ พร้อมทั้ง special guest ที่ทำให้ร้องกรี้ดออกมาเบาๆ หลายคนทั้งพี่ คุ่น หรือหลายคนรู้จักในนาม ปราบดา หยุ่น , ครูน้อย วงพรู รวมทั้ง พี่ไผ่ ฮอร์โมน แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่ถึง 5 วินาทีก็ตาม ที่ต้องให้ความดีความชอบกระทั่งขึ้นไปยืนรับรางวัลเคียงคู่กับ ณเดชน์ บนเวทีสุวรรณหงส์ครั้งที่ 23 (2556) ที่ผ่านมาคือ พัชชา พูนพิริยะ ผู้รับบท แมรี่ ในเรื่อง และอีกหนึ่งคนที่ต้องกล่าวถึง ชนนิกานต์ เนตรจุ้ยกับบทซูริ เพื่อนสาวคนสนิท ทั้งคู่ไม่เพียงแต่สวมบทได้อย่างเป็นธรรมชาติแต่ด้วยเคมีที่ลงตัวมากๆของทั้งคู่ มันทำให้หนังดูมีมิติ ใกล้ชิดกับคนดูมากไปอีกด้วย กระนั้นใช่ว่าหนังจะไม่มีข้อเสีย ด้วยความที่หนังสร้างจากทวีตมันจึงเดินหน้าไปเรื่อยๆไม่มีจุดที่เป็นclimax จุดpeak หรือกระทั่งตอนต้น ตอนจบที่ชัดเจน มีความเป็นหนังทดลองสูง(แต่ผลลัพธ์น่าประทับใจยิ่ง) รวมถึงการที่หนังช่วงต้นกับท้าย มีความต่างกัน หลังจากการจากไปของหนึ่งตัวละคร ช่วงท้ายจึงเต็มไปด้วยความเปลี่ยวเหงาที่ตัวละครต้องเผชิญหน้าในโรงเรียนที่ไร้ชีวิต 

แต่กระนั้นก็เถอะ หนังเรื่องนี้มันโดนใจผมหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะยังไง Mary ได้กลายเป็นหนังเป็นหนังปี 2013 ที่ผมชอบมากที่สุด และอยากให้หลายคนหามาชม



เอาล่ะ ถึงเวลาเอาจริงล่ะ ตัว Boxset นั้น ขณะนี้ยังสามารถสั่งซื้อได้ จนกว่าของจะหมด(ซึ่งก็ใกล้ล่ะ และถ้าหมด คืออดจริงๆนะ เพราะมันเป็นหนังอินดี้ ไม่ได้หาซื้อได้ตามห้างร้านทั่วไป) วิธีการคือเข้าไปสั่งใน http://minimore.com/mini/hap/ แนะนำว่าให้สั่งซื้อก่อนวันอังคารและพฤหัสบดี เพราะบริษัทส่งของแค่สองวันนี้เท่านั้น ผมสั่งวันศุกร์ รอยาวววววเลยจ้าาาาาา

เอาล่ะครับ ของมาถึงwrapมาให้ในรูปแบบนี้ หืมมมมม  น่าหวาดเสียวตอนรับของ หวาดวิตกว่า ของข้างในจะอยู่ครบป่ะ**





และแล้วเป็นไปตามคาด  สังเกตเห็นอะไรกันไหม






ยับมากจ้าาาาา  ยับสุดๆๆ ยับกว่ากล่อง พี่มาก เมื่อปีก่อนอีก แอบนอยล่ะ  แพงก็แพงตั้ง 660 แต่ไหง มันเป็นงี้ ?







พอเคาะ ออกมา ก็ได้ของแถมมาล่ะ หนึ่งเป็น photobook behind the scenes ด้านหลังจะมีที่มาของทวีต ซึ่งเจ้าของข้อความตัวจริง แมรี่ มาโลนี่ ได้กำกับถึงที่มาไว้ด้วย น่าสนใจมากๆ

















และปกหลังของ photobook



อีกส่วนที่ให้มา แกะดูจะพบกับซองใส่ดีวีดี ติสต์เชียว



แล้วนี่เป็นสติ็กเกอร์ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่น่าจะเก็บไว้มากกว่าเอาไปแปะฝาผนังห้อง



และโปสเตอร์ ขนาดใหญ่มาก ด้านหน้าเป็นรูปนักแสดงหันหลังให้กล้องมาจากฉากหนึ่งในหนัง



ด้านหลังเป็นคำขวัญประจำโรงเรียน "จงทำดี"




เอาล่ะมาดูที่แผ่น DVD กันดีกว่า ใส่แผ่นไปจะเจอกับแมรี่ยิงปืนกราดขึ้นฟ้า แล้วเข้าสู่ Home menu





ภาพจากหนัง cap มาจาก จอ โน้ตบุค

















set up ระบบเสียง



อันนี้เป็นเลือกฉากที่จะชม สวยดีอ่ะ



ในส่วน sf ก็มีมาให้ ยาวประมาณสี่นาที แต่เป็นสี่นาทีที่ เจ๋งมากๆๆ













Epilogue
สรุปกับราคา 660 คุณภาพหนังไม่พูดถึง เพราะชอบมาก แต่อกหักที่กล่องยับเนี่ยสิ  โคตรนอยเลยอ่ะ แม้จะเจอแบบนี้ ก็ยังคงชอบ คุ้มกับราคา ดีกว่า Boxset พี่มาก ที่ไม่มีอะไรมาให้เล้ยยยยยยยยย  ได้แต่หวังว่า Boxset คิดถึงวิทยาที่จะออกมาเดือนหน้า จะเก๋ ชิค แนว สมกับราคานะ และหวังว่ากล่องจะไม่ยับอีก