วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

Road To Oscar "รีวิว BoyHooD"

BoyHooD

จำเรื่องราวของเมื่อวานได้ไหม ? 




คงไม่ต้องมานั่งสาธยายถึงสรรพคุณ ความงามของหนังเรื่องนี้ให้เสียเวลาว่ามันวิเศษ วิโสยังไง ว่ามันมีดะไรนักหนา ทำไมต้องไปดู เพราะเชื่อว่า ใครก็ตามที่กำลังอ่านอยู่คงมีเหตุผลส่วนตัวเป็นคำตอบในใจอยู่แล้ว 



แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ความมหัศจรรย์เบื้องหลังของหนังที่ผมตามอ่าน ตามเก็บมาก็มีความน่าสนใจไม่แพ้ภาพที่ปรากฏขึ้นบนจอ หนึ่งเลยที่ทุกคนรู้ดีคือ หนังเรื่องนี้ใช้เวลาในการถ่ายทำยาวนานกว่า 12 ปี ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครทำ และใครที่คิดทำคงบ้าไปแล้วแน่ๆ ลำพังแค่การทำหนังสักเรื่องออกมาก็มีเรื่องให้ต้องปวดหัวอยู่แล้ว แนวคิดเดิมของหนังคือตัวผู้กำกับ Richard Linklater มีลูกสาวและเกิดกังวลใจในอนาคตข้างหน้า ไอเดียนี้จึงค่อยๆก่อรูปร่างขึ้นมา (ซึ่งลูกสาวของเค้าก็คือพี่สาวของเมสันในเรื่อง) หนังใช้เวลาราว 12 ปี นับตั้งแต่ปี 2002 ถึงปลายปี 2013 การเขียนบทก็ไม่ได้ขีดกรอบไว้นัด แต่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะของนักแสดงหลักเป็นใหญ่ Ellar Coltrane คือคนที่ว่า การได้เห็นเหล่านักแสดงในหนัง เติบโต ไปตามกาลเวลานับว่าเป็นเรื่องที่แสนมหัศจรรย์ อีกรูปแบบหนึ่ง ทุกตัวละครในเรื่องต่างมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ และสำหรับผมมันเป็นเรื่องสนุกนะ สนุกกว่าการนั่งดูหุ่นยนต์ซัดกันอุตลุตเสียด้วยซ้ำไป




Boyhood พาคนดูย้อนกลับไปยังอดีต (รู้สึกพักหลังๆจะมีหนังแนว retro ไม่ก็พูดถึง Time ออกมามากมายเหลือเกิน ไม่รู้เป็นความบังเอิญหรือไร) จากนั้นเราก็ค่อยๆเคลื่อนผ่านกาลเวลาตามมา เราจะรู้สึกร่วมกับตัวละครอย่างแน่นอน ผ่านบทที่ถูกเขียนขึ้นมาอย่างเรียบง่าย มันต้องเชื่อมโยงถึงชีวิตคนดูบ้างไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง(แม้บริบทจะเป็นฝรั่งจ๋าก็ตามที) รวมทั้งเหตุการณ์สำคัญๆในโลกของ Boyhood ต่างก็เป็นหลักไมล์ชั้นดีให้เราหวนนึกถึงวันวานนั้นขึ้นมา การที่หนังแทรกสอดเหตุการณ์ร่วมสมัยเข้ามา ไม่รู้ว่าจงใจหรือบังเอิญ มันกลับมีนัยยะบางอย่างต่อตัวหนัง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าคิวเพื่อรอซื้อหนังสือ Harry Potter, การเลือกตั้งใหญ่ของสหรัฐ, เทคโนโลยีในท้องเรื่อง เป็นต้น ที่สำคัญไม่ต่างกันคือ Sound และ Score ที่ถูกใช้ในหนังเป็นมากกว่าการใส่เข้ามาประกอบเรื่องราว หากแต่มันคือ นาฬิกา บอกเวลาอย่างเที่ยงตรง แม้จะมีความยาวเกือบร่วมสามชั่วโมง แต่กลับไม่มีช่วงไหนที่ทำให้เรารู้สึกว่า มันเยอะเลย เช่นที่ได้บอก หนังมันดึงดูดในตัวมันเองอยู่แล้ว ใครที่เคยเสพผลงานผู้กำกับรายนี้มาแล้ว คงพอเข้าใจ signature ของแกว่ามันมีทิศทาง สไตล์ไหน 




บนโลกนี้มีหนังมากมายหลายเรื่อง แต่ค่อนข้างมั่นใจว่า Boyhood มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ที่อยากให้หลายคนลองรับชม หากมีโอกาสได้รับชมในโรงใหญ่ยิ่งดี คิดดูว่ามันจะวิเศษแค่ไหน เมื่อวันเวลาผ่านไป คุณได้ไปบอกเล่ากับคนรุ่นหลังว่า ?ผมเคยซื้อตั๋วหนังเรื่อง Boyhood ดูด้วยล่ะ? 



สารภาพตามตรงว่าตอนที่ดูจบ ผมก็ไม่รู้จะเขียนถึงหนังเรื่องนี้ในแง่ไหน เพราะสิ่งที่อยู่ในหนังมันช่างแสนธรรมดา แต่กับยิ่งใหญ่เหลือเกินในความทรงจำ ?เวลาทำให้เราเติบโต แต่อาจไม่ได้ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น? บทสนทนาในท้องเรื่องช่างน่าสนใจ คล้ายมีใครสักคนมาเล่าเรื่องชีวิตให้กับคุณ ชีวิตคืออะไร หนังอาจไม่ได้ให้คำตอบมากนัก รู้แค่ว่าเรามีชีวิต ชีวิตเป็นของเรา ไม่ใช่ของใคร จงทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่า แล้วในวันหนึ่งจะมีคนมองเห็นคุณค่าในชีวิตเรา 



A+

สนับสนุนให้ Richard Linklater ได้รับรางวัลออสการ์สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น