วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

รีวิว Gone Girl (Film) ยามเธอหายไป ฉันนั้นคิดถึง

What are you thinking?

What are you feeling?

What have we done to each other?


What will we do?


ถ้าให้บอกชื่อผู้กำกับแห่งทศวรรษนี้เชื่อว่าชื่อของ David Fincher ผู้กำกับวัย 52 ปี ชาวอเมริกาผู้นี้ล้วนต้องถูกเสนอชื่อในลำดับต้นๆอย่างไม่ต้องสงสัย พิจารณาจากเครดิตที่เป็นตำนานอย่างหนังอาชญากรเลื่องชื่อที่ว่าด้วยบาปทั้ง 7 ของมนุษย์ใน Se7en คลับลับๆที่พูดถึการต่อสู้ทางจิตใจตนเองใน Fight Club หรือไม่นานมานี้อย่างตามติดชีวิตนายกระดุม The Curious Case of Benjamin Button และที่เปรี้ยงปร้างที่สุดคงหนีไม่พ้นหนังประวัติว่าด้วยการก่อร่างสร้าง Facebook โดยอัจฉริยะผู้เปลี่ยวเหงา Mark Zuckerberg ใน The Social Network รวมทั้งหนังสืบสวนอารมณ์ร้อนแรงที่ส่งให้ Rooney Mara ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงมาแล้วเมื่อปี 2011 กล่าวไปแล้ว Fincher เป็นผู้กำกับที่มีฐานแฟนคลับแน่นไม่ต่างจากลัทธิ Nolanlism แน่ๆ



ปีนี้เขามาพร้อมกับภาพยนตร์เรื่องใหม่อย่าง Gone Girl ซึ่งสร้างจากนิยายขายดีของ Gillian Flynn ในชื่อเดียวกัน และ Flynn ยังรับหน้าที่เขียนบทเองอีกด้วย (ไม่ต้องกลัวว่าหนังจะแร็ปเหมือนใน The Social Network) หากจะถามว่า ควรอ่านตัวนิยายก่อน หรือรับชมก่อน มีนักวิจารณ์หนังชาวไทยเรา ให้คำตอบไว้ในทวิตเตอร์ว่า อ่านก่อนน่าจะดีกว่า เพราะองก์ที่สามของหนังต่างจากหนังสือ ยังไงเสียมันก็ไม่ใช่การสปอยหนัง แต่ด้วยเวลากระชั้นชิด ผมเลือกที่จะไปรับชมตัวหนังก่อน และหยังผิดคาดมากจากตัวอย่างและทิศทางการโปรโมต แต่นับเป็นความเซอร์ไพร์สในแง่บวก

องก์แรก หนังจะพาเราไปรู้จักกับตัวละครคู่สามีภรรยา เป็นการปูเรื่องถึงความสัมพันธ์ของตัวละคร รวมถึงการหายไปของภรรยา Amy Dunne ในช่วงองก์แรกนี้หนังจงใจอย่างมากในการโน้มน้าวใจคนดูอย่างชัดเจน จนเกือบเป็น Propaganda เลยล่ะ โดยหนังโยนความผิดทั้งหมดไปที่ฝ่ายสามี Nick Dunne โดยเล่าคู่ขนานระหว่างเรื่องราวในปัจจุบันและอดีตผ่านตัวอักษรบนหน้ากระดาษไดอารี่ของ Amy Dunne ซึ่ง Nick Dunne และ Amy Dunne เคยรักกัน ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่มีความสำคัญมาก เพราะหากหนังทำให้คนดูเข้าไม่ถึงความรู้สึกของตัวละครแล้ว เท่ากับว่า อีกสององก์ที่ตามมาคือล้มแน่ๆ แต่หนังกลับสามารถทำได้อย่างดี การสังเกตการณ์ความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาคู่นี้ ไม่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากก็รู้ว่า มันไม่ชอบมาพากล


องก์สอง หนังก็สางปมที่ได้สร้างขึ้น แต่นั่นมันไม่สำคัญเพราะสิ่งที่ตามมากลับทวีความเข้มข้นขึ้น กลายเป็นการขับเคี่ยวกันของ สองสามี ภรรยา แทบจะเป็นสงครามขนาดย่อมๆกันเลยทีเดียว ยิ่งมีกองทัพตำรวจ นักข่าวสื่อมวลชนให้ความสำคัญในคดีหายตัวนี้ด้วยแล้ว หลังจากในองก์แรกที่เรายืนหยัดอยู่ฝั่ง Amy Dunne แต่พอถึงจุดหนึ่งเรากลับ เคว้ง ไม่รู้จะยืนอยู่ฝั่งไหน คงเป็นความสนุกของคนทำหนังที่ได้ใส่มุกตลกแสบๆคันๆมาให้คนดูได้ดิ้นพล่าน กันอย่างครึกครื้น ทั้งแง่เป็นคู่ผัวตัวเมียกัน เรื่องของสื่อที่ในปัจจุบันมีอิทธิพลยิ่งกว่าสิ่งใดๆ

องก์สาม ยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม หนังในองก์สามนี้แทบจะเป็น การปล่อยของ โดยสิ้น แม้หนังจะสื่อออกมาในแง่ ตลกร้าย แต่กลับแฝงความเศร้า การล่มสลายของสิ่งที่เรียกว่า ครอบครัว เอาไว้ และเชื่อว่า ฉากจบคงทำให้ใครหลายคนหลอน หันไปมองคนข้างๆพลางตั้งคำถามในใจว่า "พอได้รู้จักกันจริงๆแล้ว เรายังรักกันเหมือนวันแรกไหม ?"


หนังมีโอกาสจะได้ชิงรางวัลใหญ่ๆ ปลายปีอะไรบ้าง โดยส่วนคิดว่า หลายรายการอยู่ ที่ไม่ต้องสงสัยเลย คือ ออสการ์นำหญิงปีนี้ ต้องมีชื่อเธอคนนี้แน่ๆ Rosamund Pike ไม่เพียงเป็นการประกาศตัวว่า ฉันเป็นดาราหญิงคุณภาพอีกคนของวงการนะ อย่าลืม ! แต่ เธออาจคว้าออสการ์ไปนอนกอดโดยไม่ต้องแย่งชิง ตบตีกับใครเลย Ben Affleck การแสดงพี่แกอาจไม่ได้ทำให้หลายคน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น