วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557

X-Men: Days of Future Past (2014) Mutant and Proud!


Mutant and Proud! 

ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นแฟนหนังมนุษย์กลายพันธ์ุรึเปล่าแต่ที่แน่ๆคือ ตามดูมาตั้งแต่วัยกระเปียก จนตอนนี้เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ความนิยมชมชอบก็ยังคงฝังแน่นไม่ต่างจากครั้งแรกที่ได้เห็น มนุษย์ตัวสีฟ้าเปลี่ยนร่างได้ตามใจอยาก ผู้หญิงผมขาวปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมา หรือกรงเล็บเหล็กงอกออกมาจากหลังมือ ชายชราที่อ่านใจคนอื่นได้กระทั่งบังคับคนนั้นๆได้ หรือตัวร้ายอย่างแมกนีโตที่สามารถควบคุมเหล็ก เคลื่อนย้ายได้ตามใจนึก วันนั้นจนวันนี้ผมยังอึ้งในภาพตรงหน้าที่ได้เห็น ในใจเชื่อว่าหลายคนคงปรารถนาที่จะมีพลังวิเศษประจำตัวแบบนั้นดูบ้าง 

X-Men แต่ละภาคก็มีความน่าสนใจในตัว แม้ว่าคำวิจารณ์จะมากน้อย ว่ากันไป ไม่ใช่เรื่องสำคัญมากนัก แต่ที่รู้สึกชอบๆมากคงเป็น First Class และ X2 ที่ดูเลอค่า กระทั่งมี The Wolverine อาจไม่ใช่ในแบบที่หวังแต่ก็ถือว่าคั่นกลางการมาของ Days of Future Past อย่างได้ผลดี 



Days of Future Past มีบทที่ค่อนข้างซับซ้อนและเห็นได้ถึงความทะเยอทะยานอย่างสูงในตัวผู้สร้างในการจะผสานคนละเรื่องเดียวกันในช่วงเวลาที่ต่างกันเข้าด้วยกัน ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นพล็อตใหม่ จริงๆมันก็ถูกใช้จนเกร่อแล้ว เมื่อไม่กี่ปี J.J. Abrams ก็ใช้มันคืนชีพให้กับ Star Trek อย่างไรก็ตาม Days of Future Past ถูกดัดแปลงหลวมๆมาจากตัวนิยายภาพในชื่อเดียวกัน พัฒนามาเป็นตัวภาพยนตร์ในแบบที่เราได้ชมกัน แม้ผมจะชอบ First Class มากที่สุดแต่ขอออกตัวเลยว่า Days of Future Past คือ X-Men ภาคที่ดูแล้วฟิน สนุก เต็มอิ่มที่สุด 
ข้อดีของมันก็คือ เราไม่ต้องเสียเวลาพร่ำพูดถึงที่มาของตัวละครในเมื่อใครๆก็รู้ถึงbackground เป็นอย่างดี หนังเปิดฉากด้วยภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ และจะตื่นตะลึงยิ่งขึ้นหากรับชมในรูปแบบสามมิติ ไม่อาจบอกว่ามันดียังไงแต่มันสร้างอารมณ์ร่วมได้เป็นอย่างมาก ภาพที่ว่าคือโลกอนาคตที่มืดมัวหม่นหมอง หนังไม่รีรอที่จะพาคนดูกระโจนไปให้เห็นถึงจุดต่ำสุดของเหล่าผู้รอดชีวิต ตัวละครที่คนดูรักกำลังพบกับจุดจบที่น่าสะเทือนใจ ก่อนจะพบว่านั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการพาตัวเอกของเรื่อง Logan กลับไปยังเหตุการณ์หลัง First Class เพื่อยับยั้งเรื่องชั่วร้ายที่เกิดขึ้น ขอเล่าเรื่องในหนังสั้นๆพอ เพราะหนังมีเรื่องให้เซอร์ไพร์สมากมาย ตัวละครทุกตัวล้วนแล้วแต่มีสีสัน โดยเฉพาะ Raven หรือที่รู้จักในนาม Mystique อันเป็นตัวละครโปรดที่สุดของผม Jennifer Lawrence ไม่ลืมที่จะทำให้ตัวละครตัวนี้มีอะไรที่มากกว่า สีหน้า แววตาที่ซ่อนไว้ใต้เมกอัพหนาเตอะ เธอยังถ่ายทอดความเจ็บปวดของการต้องสูญเสีย ความเครียดแค้นได้แบบน่าจดจำ เป็นภาพลักษณ์ที่จะติดตัวเธอไปไม่ต่างจากบทบาทอื่นๆที่เราเคยเห็น การที่หนังได้นักแสดงระดับโค ตะ ระ แม่เหล็กมารับบทมันทำให้หนังอัดแน่นไปด้วยความแกร่ง Hugh Jackman ยังคงเป็น Wolverine ที่เราคุ้นเคยแต่ผมเห็นความแตกต่างบางอย่างในตัวพี่แก มันเป็นพัฒนาการที่ดีนะ James McAvoy สร้างภาพ Charles Xavier ในบทที่ต้องอับเฉา สิ้นหวัง ไม่ต่างจากสภาพโรงเรียนอันเป็นเสมือนหัวใจของเขาที่ทั้งเสื่อมโทรมและมืดมน Michael Fassbender คือ Erik Lehnsherr ที่สมบูรณ์แบบโดยเฉพาะฉากบนเครื่องบิน มันดูเยี่ยมมากๆ แววตาที่เย็นยะเยือกกับน้ำเสียงที่แข็งกร้าว มันสะท้อนความเจ็บแค้นออกมาได้อย่างถึงที่สุด Halle Berry อาจจะโผล่มาไม่กี่ฉากแต่นั่นคือหญิงสาว Stormที่เราคิดถึงกันมิใช่หรือ Nicholas Hoult ในร่าง Beast แม้นักแสดงรายนี้จะไม่มีมิติให้จับต้องมากนัก แต่แค่เห็นหน้าหล่อๆของพี่นิค ใจมันก็ละลายไปหมด Ellen Page สาวน้อยที่เป็นไอดอลของวัยรุ่นหลายคน กระทั่งเป็นวัฒนธรรมป็อบของยุคนี้ใน Juno สาวท้องโต บทของเธอ Kitty Pryde ไม่มีอะไรให้แสดงมากนักแต่มันก็น่าจับตามองเมื่อเธออยู่บนจอ เช่นเดียวกับ Shawn Ashmore ในบท Iceman ที่โผล่มาแบบแย่งซีนที่สุดคือ Evan Peters โด่งดังเป็นพลุแตกจากซีรี่ย์สุดหลอน สุดเพี้ยน American Horror Story ซึ่งใน X-Men กับบท Quicksilver นั้น มันสุดๆ คนที่ดูแล้ว คงไม่มีทางลืมตัวละครนี้แน่ๆ ส่วนตัวร้ายของเรื่อง Peter Dinklage คุ้นหน้าจาก Game of Thrones คุณพี่อยู่ในระดับเกินตัว ทางด้านขาใหญ่ของเรื่อง Patrick Stewart และ Ian McKellen ไม่มีอะไรให้ต้องติ 

X-Men: Days of Future Past คือความบันเทิงที่มาพร้อมคุณภาพคับจอ ที่เหมาะก่การรับชมในโรงภาพยนตร์สามมิติ อย่างแท้จริง ซึ่งไม่รู้ทำไมตลอดการดูหนังเรื่องนี้ผมรู้สึกเหมือนน้ำตามันจะไหลตลอดเวลา ทั้งปลาบปลื้มใจ ทั้งรู้สึกชอบ รู้สึกอิน ขอบคุณผู้กำกับ Bryan Singer ที่กลับมาสานต่อโลกมนุษย์กลายพันธ์อีกครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะความเป็นเกย์ด้วยรึเปล่า(ที่ผมเป็น และผู้กำกับเป็น) อันเป็นผลทำให้หนังเรื่องนี้มันมีบางอย่าง บางสิ่ง ที่อธิบายไม่ได้ 

สุดท้าย Mutant and Proud!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น