เมื่อธรรมชาติเรียกคืนความสมดุล
ผมรู้จักคำว่า Godzilla ครั้งแรกในปี 1998 ตอนั้น ผมอายุได้ 4 ปี Godzilla ของลุงโรแลนด์ ไม่ได้มีสถานะเพียงแค่หนัง Godzilla เรื่องแรกที่ผมดูเท่านั้น (ก่อนที่ผมจะเริ่มตามดู Godzilla ต้นฉบับจากเกาะญี่ปุ่น) แต่มันมีสถานะเป็นหนังเรื่องแรกที่ผมได้ดูในโรงภาพยนตร์และแน่นอนมันกลายเป็นหนังเรื่องแรกในความทรงจำผม รวมไปถึงเป็นการเปิดประตูให้ผมก้าวเข้าสู่โลกของภาพยนตร์อย่างแท้จริง ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ผมก็เลิกดูหนังไม่ได้ ไม่ใช่เพราะผมอยากดูหรอกนะ แต่ผมหลงใหลในภาพยนตร์มากต่างหาก
ปี 2014 ผมอายุ 19 ย่าง 20 ผมก็ได้มีโอกาสเข้าไปพบเจอกับเพื่อนเก่าแก่ ที่ผมเคยรู้จักเป็นอย่างดี การพบกันครั้งนี้ ผมรู้สึกคาดหวังไว้สูงมาก เพื่อนคนเดิมที่เปลี่ยนไป แต่ความรู้สึกเดิมๆยังคงอยู่เหมือนเดิม แม้ว่าการได้ดู Godzilla 1998 ซ้ำอีกครั้งในตอนที่โตขึ้นจะไม่เหมือนในครั้งแรกที่ดูก็ตาม
ขอเล่าเกี่ยวกับความรู้สึกก่อนดู ตั้งแต่ที่ผมรู้จักกับ Godzilla มันทำให้ผม หลงรักเหล่าตัวละครสัตว์ประหลาดอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นรวมไปถึงเหล่า Jurassic Park, King Kong อื่นๆอีกมากมายนับไม่ถ้วน การมาของ Godzilla ฉบับใหม่นี้ คือความคาดหวังอย่างมาก ไม่ใช่เพียงเพราะคำว่า Godzilla แต่เป็นเพราะ Gareth Edward ตัวผู้กำกับเอง ที่ผมหลงรักตั้งแต่หนังไซไฟอินดี้ โร้ดมูฟวี่ในบรรยากาศหม่นๆโดยมีสัตว์ประหลาดยักษ์จากต่างดาวเป็นแบ็คกราวน์อย่าง Monsters มันทำให้ความคาดหวังเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
Godzilla ฉบับนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังหลายๆเรื่อง ซึ่งผู้กำกับเองก็ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด ซึ่งพอผมได้รับชมก็พบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ หนังต้นแบบเหล่านั้นได้แก่ Atonement- Joe Wright(ใช่แล้วคุณอ่านไม่ผิดหรอก) Close Encounter of the third kind, Jaw และ Jurassic Park ? Steven Spielberg (ชัดเจนมากๆครับ ทั้งตัวเนื้อหาและมุมมองที่มีต่อตัว Godzilla) Cloverfield ? Matt Reeves (งานภาพบางช่วงบางตอนมันใช่เลยล่ะ) Gojira ? Ishiro Honda (มันก็ต้องแน่นอนล่ะ) The Host (หนังเอเชียที่ตบหน้าฮอลลีวู้ดฉาดใหญ่) Monsters (หนังของพี่แกเองเลยนะนั่น) ซึ่งจริงๆแล้ว การนำส่วนต่างๆของหนังเรื่องอื่นๆมารวมกันมันก็ได้ทั้งผลดีและผลเสีย เหมือนกรณีเมื่อปีก่อนอย่าง Oblivion ที่ดูคุ้นๆหลายอย่างจนขาดความเป็น Origin ไปในทันที แต่ Godzilla ค่อนข้างมิกซ์ได้ลงตัว แม้จะไม่สมบูรณ์แบบในตัวก็ตาม และผมก็รู้สึกลังเลใจที่จะบอกว่าการพบกันของผมกับเพื่อนเก่ารายนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆรึเปล่า
ผมมีทั้งความชอบและความไม่ชอบปนเปกันไปในหนังเรื่องนี้ อย่างแรกเลยที่ชอบคือ ช่วงครึ่งแรกของหนังที่แม้จะเนิบๆแต่มันอัดแน่นไปด้วยความน่าตื่นกลัว บรรยากาศลึกลับ น่าค้นหา และความดราม่าที่แม้จะไปไม่สุดแต่ถือว่าเอาอยู่ รวมไปถึง Grand Opening ของมูโตและ Godzilla อยู่ในขั้นของ Top Form หนังถ่ายทอดบรรยากาศออกมาได้ดีมาก ทุกฉากของการปรากฏกายมันช่างน่าหลงใหลและน่ากลัวรวมๆกันไป ก่อนที่ครึ่งหลังหนังจะจัดหนักไปที่ฉาก Action มากกว่าส่วนที่หนังปูไว้ในช่วงแรก ด้วยเหตุนี้เลยทำให้ผมเริ่มหมดความสนใจลง มันดูคล้ายกับว่าตัวละครไม่มีพัฒนาการ อารมณ์คล้ายกับการดู Tranformers คือมันอร่อยก็จริง แต่มันไม่อิ่ม แค่เปรียบเทียบให้เห็นชัดขึ้น เพราะถ้าจะวัดกันจริงๆ Godzilla ยังเอาอยู่มากกว่า Tranformers หลายเท่าตัว เพราะอย่างน้อยหนังก็ใช้ CGI คุ้มกว่า มากกว่าการระเบิดภูเขา เผากระท่อม
โดยดั้งเดิมแล้ว Godzilla ยังเป็น Symbol รอยแผลจากเหตุการณ์ WWII แต่จริงๆจะโทษหนังฉบับนี้ก็ใช่เหตุ เพราะเอาเข้าจริงๆ Symbol ที่ว่ามันก็หายไปตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ก่อน Godzilla จะถูกแปรสภาพมาเป็น Superhero คอยฟาดฟันกับอสูรร้ายนานาชนิด จดหมดนัยยะที่สื่อถึงบาดแผลนั้น อีกสิ่งหนึ่งคือนักแสดง ต้องบอกก่อนว่าส่วนตัวชอบ Aaron Taylor Johnson ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่พอมาใน Godzilla มันกลับให้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม นักวิจารณ์ฝั่งตะวันตกบางคนถึงกับตั้งฉายาว่า Forrest Johnson ซึ่งก็มีความจริงอยู่ในนั้น ผิดกับหนังเรื่อง Anna และ Savage ที่ดีกว่าเป็นไหนๆ ส่วนนักแสดงคนอื่นๆก็ดีเท่าตัว แต่มีคนหนึ่งที่แย่งซีนมากๆแม้ว่าจะมาแค่ช่วงต้นเรื่องเท่านั้นคือ Bryan Cranston ดียังไงต้องลองไปดู ต่อมาที่ขัดใจคือ Score ผมไม่ชอบเลย น่าเสียดาย มันน่าจะออกมาดีกว่านี้ ลองจินตนาการถึงหนังอย่าง Inception ที่ชัดเจนมากนอกจากเนื้อหาหรือสิ่งอื่นใดคือ Score ที่เด่นชัด หรือแม้กระทั่ง Tron legacy ที่แม้หนังจะไม่โดนใจแต่ Score ทะลุมิติมาก หากได้ส่วนนี้มาช่วยจะดีมาก ใน Prometheus ถูกค่อนขอดว่าเหล่านักวิทยาศาสตร์ในเรื่องไม่มีความเฉลียวฉลาดเอาเสียเลย ผมว่าบางทีเค้าอาจจะจบการศึกษาที่เดียวกันกับเหล่านักวิทยาศาสตร์ในเรื่อง Godzilla ก็ได้นะ (อย่าเข้าใจผิด ผมชอบ Prometheus นะ มากด้วย) ที่อยากเปรียบเทียบคือ Pacific Rim ซึ่งแน่นอนผมโคตรชอบมันเลย แม้อารมณ์มีนจะเหมือนเด็กนั่งจมอยู่กับกองขงเล่นก็ตาม ขณะที่ Godzilla มาในโหมดที่เล่นบนพื้นฐานแห่งความเป็นจริงแต่พอเข้าครึ่งหลังกลับให้ความรู้สึกที่แฟนตาซีไปไกล
ไม่ว่าคุณจะสรรเสริญ สาปส่ง หรือเฉยๆ ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า Godzilla ฉบับนี้มีความน่าสนใจและน่าดึงดูดเป็นอย่างมาก มันเป็นหนังในแบบที่มอบความสนุกสนานให้ได้พอเหมาะพอควร แล้วยังจะต้องการอะไรอีก มันคือหนังไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก เพียงแค่การได้เข้าไปดูฉากหายนะ การทำลายล้างต่างๆในหนังผมว่ามันก็คุ้มแล้วล่ะ แล้วเจอกันใหม่เพื่อนเก่า Godzilla
สรุปง่ายๆ หนังสัตว์ประหลาดบุกเมืองที่ผมชอบมากที่สุดยังคงเป็น Cloverfield, Monsters , Jurassic Park, King Kong-Peter Jackson ตามเดิม
โดยดั้งเดิมแล้ว Godzilla ยังเป็น Symbol รอยแผลจากเหตุการณ์ WWII แต่จริงๆจะโทษหนังฉบับนี้ก็ใช่เหตุ เพราะเอาเข้าจริงๆ Symbol ที่ว่ามันก็หายไปตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ก่อน Godzilla จะถูกแปรสภาพมาเป็น Superhero คอยฟาดฟันกับอสูรร้ายนานาชนิด จดหมดนัยยะที่สื่อถึงบาดแผลนั้น อีกสิ่งหนึ่งคือนักแสดง ต้องบอกก่อนว่าส่วนตัวชอบ Aaron Taylor Johnson ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่พอมาใน Godzilla มันกลับให้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม นักวิจารณ์ฝั่งตะวันตกบางคนถึงกับตั้งฉายาว่า Forrest Johnson ซึ่งก็มีความจริงอยู่ในนั้น ผิดกับหนังเรื่อง Anna และ Savage ที่ดีกว่าเป็นไหนๆ ส่วนนักแสดงคนอื่นๆก็ดีเท่าตัว แต่มีคนหนึ่งที่แย่งซีนมากๆแม้ว่าจะมาแค่ช่วงต้นเรื่องเท่านั้นคือ Bryan Cranston ดียังไงต้องลองไปดู ต่อมาที่ขัดใจคือ Score ผมไม่ชอบเลย น่าเสียดาย มันน่าจะออกมาดีกว่านี้ ลองจินตนาการถึงหนังอย่าง Inception ที่ชัดเจนมากนอกจากเนื้อหาหรือสิ่งอื่นใดคือ Score ที่เด่นชัด หรือแม้กระทั่ง Tron legacy ที่แม้หนังจะไม่โดนใจแต่ Score ทะลุมิติมาก หากได้ส่วนนี้มาช่วยจะดีมาก ใน Prometheus ถูกค่อนขอดว่าเหล่านักวิทยาศาสตร์ในเรื่องไม่มีความเฉลียวฉลาดเอาเสียเลย ผมว่าบางทีเค้าอาจจะจบการศึกษาที่เดียวกันกับเหล่านักวิทยาศาสตร์ในเรื่อง Godzilla ก็ได้นะ (อย่าเข้าใจผิด ผมชอบ Prometheus นะ มากด้วย) ที่อยากเปรียบเทียบคือ Pacific Rim ซึ่งแน่นอนผมโคตรชอบมันเลย แม้อารมณ์มีนจะเหมือนเด็กนั่งจมอยู่กับกองขงเล่นก็ตาม ขณะที่ Godzilla มาในโหมดที่เล่นบนพื้นฐานแห่งความเป็นจริงแต่พอเข้าครึ่งหลังกลับให้ความรู้สึกที่แฟนตาซีไปไกล
ไม่ว่าคุณจะสรรเสริญ สาปส่ง หรือเฉยๆ ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า Godzilla ฉบับนี้มีความน่าสนใจและน่าดึงดูดเป็นอย่างมาก มันเป็นหนังในแบบที่มอบความสนุกสนานให้ได้พอเหมาะพอควร แล้วยังจะต้องการอะไรอีก มันคือหนังไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก เพียงแค่การได้เข้าไปดูฉากหายนะ การทำลายล้างต่างๆในหนังผมว่ามันก็คุ้มแล้วล่ะ แล้วเจอกันใหม่เพื่อนเก่า Godzilla
สรุปง่ายๆ หนังสัตว์ประหลาดบุกเมืองที่ผมชอบมากที่สุดยังคงเป็น Cloverfield, Monsters , Jurassic Park, King Kong-Peter Jackson ตามเดิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น