วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Thor: The Dark World :สองพี่น้องแห่งแอสการ์ด


Thor: The Dark World :สองพี่น้องแห่งแอสการ์ด 


น่าดูเป็นที่สุด ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใครหลายคนจะคิดแบบนี้ ผมเองก็เป็นแบบนั้น เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะในบรรดาทีมอเวนเจอร์นั้น ผมหลงรัก Thor เป็นที่สุด ถ้าจะให้ถูกกว่านั้นก็คือ Loki ด้วย 


ขอย้อนเวลากลับไปตอนที่ Thor ภาคแรกเข้าฉาย ผมชอบมาก ผมสัมผัสได้ถึงความโรแมนติกบางอย่าง ไม่ว่ามันจะด้วยความบังเอิญหรือไม่ก็ตาม มันได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า'เสน่ห์เอาไว้ ทั้งการเป็นหนังฮีโร่ที่ควรจะมี และควรจะเป็น Thor น่าจะเป็นโจทย์ที่หินมากๆ เพราะด้วยเนื้อหาแล้วมันsurreal สุดๆ แต่หนังก็สามารถหาจุดสมดุลออกมาได้ และยังสรรค์สร้างตัวละครที่น่าจดจำ ในส่วนนี้ ต้องยกเครดิตให้นักแสดง เช่นเดียวกับหนังที่ออกมาคู่กันในปีนั้นอย่าง Captain America บางอย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างต้นก็คือ 



---"ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่าทำไม หนัง THOR และ Captain America มันถึงโรแมนติกอะไรอย่างนี้ THOR เริ่มเรื่องที่หญิงสาวคนหนึ่งผู้ซึ่งเชื่อมั่นในสิ่งที่เธอทำ วันหนึ่งเธอได้พบกับชายหนุ่มรูปงามที่หล่นมาจากท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ เขาเป็นเหมือนเจ้าชายที่มาช่วยกอบกู้โลก รวมทั้งช่วยชีวิตเธอ ในฉากท้ายเรื่องเธอ มองขึ้นไปเบื้องบน เฝ้าฝันว่าในสักวัน จะได้พบกันอีกครั้ง เช่นเดียวกับชายผู้นั้นที่มองลงมายังเบื้องล่างหวังว่าจะมองเห็นเธอ ส่วน Captain America ชายหนุ่มผู้ไม่เคยย่อท้อต่อโชคชะตา แม้จะไม่มีใครเหลียวมองชายธรรมดาผู้นี้ก็ตาม นานวันเขาเลิกที่จะคิดถึงในเรื่องความรัก แต่แล้วเขาก็ได้พบกับหญิงงาม ผู้มองเห็นจิตใจอันแน่วแน่ จนวันนึงจากชายหนุ่มผู้อ่อนแอ กลับกลายเป็นชายหนุ่มผู้ที่คนทั้งหลายต่างยอมรับ แต่แล้วโชคชะตากลับเล่นตลก หญิงสาวอยู่ในสถานที่เดิมๆ สิ่งเดิมๆโดยไม่มีชายหนุ่มอยู่เคียงข้าง ส่วนชายหนุ่มผู้นั้นอยู่ในโลกใหม่ สถานที่ใหม่ โดยปราศจากหญิงสาวยืนเคียงข้าง ไม่รู้คู่ไหน น่าเศร้ากว่ากัน แต่ผม ก็รักหนังทั้ง นี้มาก "--- 



เลิกเพ้อแล้วกลับมายัง Thor: The Dark World อันที่จริงหนังก็ได้ปูประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ของพี่น้องเอาไว้แล้วระหว่าง Thor และ Loki ในภาคแรก ก่อนที่ภาคนี้จะถูกหยิบยืมมาสานต่อและดูเหมือนจะไปได้ไกลกว่าเดิม บางสิ่งหายไปและบางสิ่งเข้ามาแทนที่ 


โดยเนื้อหาแล้วผมไม่ค่อยอยากพูดถึงเพราะผมไม่ใช่แฟนคอมมิค กลัวว่ากล่าวไปแล้วจะเป็นการบิดเบือน ถ้ากล่าวผิดไปก็ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ แต่ในหนังนั้นเนื้อหาก็ไม่ได้ซับซ้อนแต่หนังกลับผลิกแพลงได้อย่างน่ารักน่าชัง กล่าวคือ เหล่าดาร์คเอล์ฟวางแผนจะนำโลกทั้งเก้ามาเรียงตัวกันเพื่อที่จะยึดครองโดยมีอาวุธที่เรียกว่า อีเธอร์ แต่ก็ถูกยึดมาได้และ อีเธอร์นั้นถูกเก็บซ่อนไว้ ก่อนที่ เจน จะบังเอิญไปพบเจอเข้าระหว่างที่เธอพยายามหาประตูมิติเพื่อจะไปพบเจอกับธอร์อีกครั้ง แต่แล้วเจ้าอีเธอร์นั้นกลับเข้าไปอยู่ในร่างของเธอ ธอร์ซึ่งเฝ้าดูแลเธอจากแอสการ์ดเห็นว่าผิดปกติ จึงได้มายังโลกเพื่อพาเธอกลับไป อีกด้านหนึ่ง พวกดาร์คเอล์ฟที่กำลังหลับใหลก็รับรู้ถึงขุมพลัง พวกมันจึงเข้าบุกแอสการ์ด ส่วนโลกิหลังจากเหตุการณ์ที่นิวยอร์กเข้าถูกคุมขังเอาไว้ เมื่อพวกดาร์คเอล์ฟเข้าบุกแอสการ์ดทำให้เหตุการณ์นั้นสร้างความสะเทือนใจให้กับธอร์และโอดินที่แม้จะรักษาชีวิตของเจนไว้ได้แต่ก็ต้องแลกกับอีกหนึ่งชีวิต ซึ่งนั่นทำให้ โอดิน เสียศูนย์ ธอร์วางแผนที่จะกำจัดพวกดาร์คเอล์ฟแต่โอดินไม่เห็นด้วย เขาจึงต้องขอความช่วยเหลือจากผองเพื่อนรวมทั้งน้องชายตัวร้ายเพื่อให้แผนนี้สำเร็จ ความผลิกแผลงที่ว่านั่นมีให้เห็นอยู่ประปรายทั้งเรื่อง เพลินมากโดยเฉพาะฉากช่วงท้ายที่ได้ครบทั้งมันส์ ทั้งฮา 


หนังมาพร้อมกับ Production ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ฮากแอ๊คชั่นที่จัดเต็ม จัดหนัก และที่สำคัญคือหนังยังไม่ทิ้งให้คนดูต้องนั่งเปลี่ยวในโรงไปกลับฉากแอ๊คชั่นที่จำเจ เหมือนหนังฮีโร่บางเรื่องของปีนี้ อุ้บส์! ส่วนทางด้านดราม่านั้น หนังอาจไม่ลงลึกเท่าภาคแรกแต่ก็มีเวลาให้คนดูได้ซึบซับไม่ว่าจะเหตุการณ์หลังบุกแอสการ์ด หรือในฉากที่โลกิเข้าช่วยธอร์ 

หนังเปลี่ยนตัวผู้กำกับมาเป็น Alan Taylor จากเดิมคือ Kenneth Branagh ซึ่ง Taylor นั้นส่วนตัวชอบมากๆจากซีรี่ย์อย่าง Game of Thrones และเขาก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย ยังได้อารมณ์ขัน ที่รับรองความฮา ซึ่ง ณ จุดๆนี้ น่าจะได้รับการปรุงแต่งจาก Joss Whedon มาด้วย 


ใครที่เป็นแฟนมาร์เวล ไม่มีผิดหวัง และอย่าลืม End Credit ตอนท้ายเรื่อง เพื่อนผมซึ่งเป็นแฟนคอมมิคบอกว่าอัญมณีดังกล่าวจะถูกใช้เป็นอาวุธให้กับ ธานอส ก็ตัวร้ายที่โผล่มาตอนท้ายเรื่องใน The Avengers น่ะแหละ ไม่รู้จริงเท็จแค่ไหน สุดท้ายคงต้องรอดู !


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น