"เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย"
เชื่อว่าหนังเรื่องนี้มีการวางแผนมาค่อนข้างดีเลย
เรียกได้ว่าถ้าเมื่อสี่ห้าปีก่อน มีหนังแบบนี้ออกมาต้องเป็นกระแสอยู่พักหนึ่งเลย
แต่เมื่อหนังมาช้า และยังทำเก๋ด้วยการเล่นท่ายากที่มันซ้ำรอยหนังเรื่องอื่น
ผลลัพธ์มันเลยออกมาก่ำกึ่งระหว่างคนที่ชอบและไม่ชอบ
คนที่ดูหนังเรื่องนี้เดาๆว่าคงมีสองประเภทหนึ่งเลยคือดูดารา
และสองคือมาดูหนังคุณภาพ
ดาราที่ว่าก็คือ เก้า จิรายุ ละอองมณี ที่นับวันจะฮอตมากขึ้นทุกวันๆ
โดยส่วนตัวเคยมีโอกาสใกล้ชิดกับนักแสดงคนนี้ จากงาน event ต้องบอกว่า เก้า มีความเป็นกันเองสูงมาก
ไม่รู้นะว่าคนอื่นคิดยังไงกับนักแสดงคนนี้ แต่ผมบอกเลยผมเป็น FC ของเก้าแบบว่า 'สุดติ่ง' และ ปันปัน สุทัตตา อุดมศิลป์
รายนี้ก็เป็นที่รักของวัยรุ่นยุคนี้รวมทั้งผมที่ชื่นชอบน้องเขาตั้งแต่ลัดดาแลนด์
จนมาถึง รัก 7 ปี ดี 7 หน ที่ได้มาคู่กับ เก้า และกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งใน Last Summer นี้ ซึ่งเดิมทีก็แอบสงสัยนะว่า ทำไม ต้อง
เก้า กับ ปันปัน !?
ไหนๆก็พูดถึงนักแสดงแล้ว
สองคนที่กล่าวไปแล้ว ได้ผ่านผลงานมากมาย เรื่องการแสดงคงไม่ต้องพูดถึงว่ามีความ expert มากแค่ไหน แต่ที่เป็นเซอร์ไพร์สจริงๆ
คงเป็นนักแสดงอีกสองคน คนแรกคือ อาย พิมพกานต์ แพร่คุณธรรม รับบท จอย
ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว แสดงได้ดีกว่า นักแสดง
เด็กในรุ่นราวคราวเดียวกัน(อันจะเห็นได้จากหนังเรื่องอื่นๆ คงไม่ต้องยกตัวอย่างนะ
ในปีนี้ก็มีให้เห็น ) จะว่าไปก็ไม่แปลกเพราะ อาย เคยเข้าประกวดเวที The Acting Queen มาแล้ว อีกคนที่เซอร์ไพร์ส ของจริงคือ
เบสท์ เอกวัฒน์ เอกอัจฉริยา ในเรื่องรับบทเป็น ติ่ง น้องชายของ จอย ซึ่งเบสถ่ายทอดบทนี้ออกมาได้น่าประทับใจ
นี่ถ้าบทหนังสามารถส่งอีกนิดให้เวลากับตัวละครตัวนี้อีกหน่อย จะดีมาก
เพราะโดยรวมๆแล้ว หนังใช้เวลาไปราวๆชั่วโมงครึ่ง และหนังไปอืดใช่วงพาร์ทสอง ซึ่งเป็นตอนของปันปัน
ที่ยืดย้วยไปกับมุกหลอกผีที่ไม่ชวนให้น่าหวาดกลัวแต่อย่างใด
อีกอย่างที่น่าจะเรียกแขกได้
สำหรับผู้ที่คาดหวังในคุณภาพ คือ การขายชื่อของ คงเดช จาตุรันต์รัศมี
ในฐานะคนเขียนบท เครดิตของเขานั้นมากมายเหลือหลายทั้งงานเขียนบทและกำกับ
ยกตัวอย่างที่ชัดเจน เรื่อง กอด, แต่เพียงผู้เดียว และล่าสุดกับ ตั้งวง
ที่เหมือนจะไปไกลถึงเวทีโลกแล้วซึ่งในส่วนนี้น่าจะทำให้ใครหลายคนรวมทั้งผมตั้งข้อสังเกตไว้ว่า
มันน่าจะมีอะไร มากกว่าหนังไทยเรื่องอื่นๆนะ
หนังแบ่งออกเป็นสามพาร์ทโดยจะเป็นเรื่องราวของบุคคลที่รายล้อมตัวละคร
จอย ในส่วนแรกจะเน้นไปที่ตัวละคร เก้า จิรายุ
และในส่วนแรกนี้คือความสนุกที่สุดของหนัง เพราะหนังวางโครงเรื่อง
ปริศนาให้ขบคิดได้เป็นอย่างดี ย้ำว่าดีจริงๆ มุมกล้องการจัดวางภาพ
จังหวะหนังดูลื่นไหล
แต่พอเข้าสู่แอ๊คสอง หนังลิงค์ไปที่ตัวละครของปันปัน
หนังเริ่มเสียหลักเพราะแทนที่หนังจะไปช่วยตอบคำถามที่ปูไว้ในช่วงต้น
หนังกลับใส่ประเด็นใหม่เข้ามาอีก และอย่างที่บอกไปคือ ช่วงนี้หนังอืดมาก
มุกหลอกผีไม่ทำงานเลย
เหมือนกับว่าแค่มาดูในช่วงสองนาทีก่อนจบพาร์ทสองก็เพียงพอแล้ว
หลังจากนั้นหนังโยนคนดูไปที่ตัวละครลับ
อย่างน้องชายของจอย หรือ ติ่ง รับบทโดย เบส นั่นเอง หนังก็ไปผูกประเด็นใหม่มาอีก
นั่นคือ ครอบครัว ซึ่งหนังทำออกมาไม่สุด และเช่นเคยมุกหลอกผีที่เฉย รวมถึงที่ว่ามันไม่ make sense เมื่อมองจากภาพรวมแล้วหนังดรอปลงเรื่อยๆ
และไม่อิมแพคในช่วงท้ายอย่างที่มันควรจะเป็น
ผมไม่รู้นะว่าการดำเนินเรื่องมันคล้ายๆกับหนังฝรั่งเรื่องไหน ซึ่งผมไม่มีปัญหากับการได้รับแรงบันดาลใจมากจากหนังเรื่องอื่นๆ ขอแค่มันไม่ใช่การ copy มาทั้งดุ้นก็พอ อย่างใน 'แต่เพียงผู้เดียว' ไม่บอกก็รู้ว่าต้องมีหนังเรื่อง Following ของ โนแลน เจืออยู่ แต่มันเป็นการประดิษฐ์ใหม่ที่น่าพอใจ พูดถึงในทางทฤษฎี Last Summer มันก็ดูดีในแบบที่เป็น
แต่อาจเป็นเพราะการกำกับของผู้กำกับทั้งสามคน ไม่รู้ว่าแบ่งการทำงานกันยังไง
อาจมีการพูดถึงภาพรวมก่อน หรืออาจจะแยกงานกันทำคนละพาร์ทแล้วมารวมกันหรือเปล่า
เนื่องจากอารมณ์หนังมันขึ้นๆลงๆ ขาดๆเกินๆ ซึ่งหากใครเคยดู บอกเล่า เก้าศพ
แล้วเปรียบเทียบจะพบว่าเรื่องหลังนั้นดูดีกว่า
แม้หนังจะขาดๆเกินๆ
แต่หนังก็ไม่ได้ไร้แก่นสาร
เพราะหนังมาพร้อมกับประเด็นที่หนักและการนำเสนอที่จริงจัง
ว่าด้วยเรื่องราวของวัยรุ่นที่ต้องใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่เป็นจุดเปลี่ยนหลายๆอย่าง
ทั้งภายนอกและภายใน เรื่องของความรัก sex เพศ (ในพาร์ทแรก) เรื่องของเพื่อน มิตรภาพ (ในพาร์ทสอง) และครอบครัว
สายสัมพันธ์ที่เปราะบาง คามคาดหวังต่างๆนานา (ในพาร์ทสาม) เหมือนหนังกำลังจะบอกว่า
"เป็นวัยรุ่นน่ะ มันเหนื่อย"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น