วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

The Hunger Games: Catching Fire : It's Time To Revolution !

The Hunger Games: Catching Fire : It's Time To Revolution !




คนมักจะคิดว่า The Hunger Games จะต้องดำเนินเรื่องไปในการแข่งขันเกม พวกเขาเหล่านั้น ไม่เข้าใจ มันไม่ใช่ หากแต่ The Hunger Games มันคือ อุปกรณ์ ชิ้นหนึ่งที่อยู่ในระบบของการกดขี่โดยระบอบการปกครองที่ไร้ซึ่งความยุติธรรม --- ไม่ดราม่าการเมืองแน่นอน แค่เบื่อคนที่เข้าไปเพื่อหวังจะดู เพียง คนฆ่ากัน ได้โปรดเถอะ !


หากการอ่านหนังสือครบทั้งสามเล่มซ้ำยังมีไว้ครอบครอง ผมอาจกล้าเรียกตัวเองได้ว่า เป็นแฟนหนังสือ แต่นั่นคงเป็นการพูดเกินจริง เพราะผมไม่ได้รู้สึกชอบตัวนิยายมากขนาดนั้น ทำไมน่ะหรอ ก็มันติดกลิ่นทไวไลท์มากๆ ผมจึงขอเรียกตัวเองว่าเป็น แฟนหนัง ฟังดูสบายใจกว่าเยอะ  เพราะอะไร เพราะในนิยายนั้น หนังมุ่งเน้นไปที่ พาร์ทความรักอย่างเกินงาม โดยเฉพาะในเล่มสาม ที่รู้สึกเอียนๆอยู่ไม่น้อย แต่ในหนัง ทิศทางหลักคือการถูกกดขี่และลุกฮือขึ้นสู้กับการปกครองที่ไม่เป็นธรรม เพื่อค้นหาอิสรภาพ แะหนังดันขยี้ปมนี้ออกมาได้อย่างน่าชื่นชม และถูกตอกย้ำอย่างชัดเจนเมื่อการมาถึงของ Catching Fire 




ใครที่ชอบภาคแรก 'ไม่มีทาง' ที่คุณจะไม่ปลื้ม Catching Fire  แม้หนังจะเปลี่ยนตัวผู้กำกับจาก Gary Ross ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วชอบวิสัยทัศน์ที่แกมีต่อ The Hunger Games  ภาคแรกมากๆ มันเป็นการฉีกหน้าหนังสือแล้วอาศัยแค่บางส่วนและเพราะวิสัยทัศน์ที่เฉียบคมของแกนี่ล่ะ เลยทำให้หนังมีทิศทางอย่างที่เห็น ผมแอบหวั่นว่า Francis Lawrence ผู้กำกับที่มาทำต่อจะไปยึดเอาตามหนังสือ เพราะนันหมายถึงการไม่ซื่อสัตย์ต่อหนังภาคแรกแต่หันไปซื่อสัตย์กับตัวนิยายแทน แต่ไม่เลย Francis Lawrence ยังคงสานต่อตามที่ Ross ได้เริ่มไว้ และเผลอๆอาจทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ ผมมองว่าผู้กำกับ  Lawrence  แกเป็นคนมีของนะ แม้จะมีหนังใหญ่แค่สี่เรื่องเท่านั้น ใน Catching Fire นี้ Lawrence ทำได้ดีมากจริงๆ


ส่วนหนึ่งที่หนังไปได้ไกล ได้ดีแบบนี้ ลำพังแค่อาศัยผู้กำกับ คนเขียนบท หรือคนเบื้องหลังมันก็ไม่ใช่ที่ นักแสดง เป็นส่วนสำคัญมากๆ ราศรีออสการ์ของ Jennifer Lawrence  มันน่าจับตามาก ไม่เพียงแต่การตีบท Katniss Everdeen ให้ออกมาได้อย่างหมดจด แต่เชื่อว่าตัวละครตัวนี้จะมีอิทธิพลกับคนดูไม่ต่างจากผู้คนเขตต่างๆในหนัง และกล้าพูดได้เลยว่า Jennifer Lawrence โอบอุ้มหนังเรื่องนี้ไว้ทั้งเรื่อง Josh Hutcherson  ในบท Peeta Mellark นักแสดงรายนี้ ผมชอบมากตั้งแต่ตอนเด็กๆที่ได้ดูเรื่อง Bridge to Terabithia Bridge to Terabithia  ที่ขโมยน้ำตาผมไป ใน Catching Fire  นั้นน่าเสียดายที่ Hutcherson ไม่ได้ใช้การแสดงที่มีอยู่ได้มากพอ หรือถูกกลบด้วย Lawrence ก็ไม่รู้ าทางฝั่งของน้องชายเทพเจ้า Thor อย่าง Liam Hemsworth  นักแสดงรายนี้ โผล่ๆมาแปปๆ แต่น่าตรึงใจกว่าอาจด้วยต้นทุนด้านน่าตาก็เป็นได้ เพราะโดยส่วนตัวยังไม่เคยเห็นหนังที่พี่แกได้แสดงแบบรับบทนำมาก่อนเลย แต่ถ้าวัดจากที่เห็นขอบกว่า น่าจับตามอง ส่วนรายอื่นๆที่เหลือ Woody Harrelson,Elizabeth Banks,Donald Sutherland ต่างก็มีส่วนช่วยให้หนัง "ถึง" อย่างที่ได้สัมผัสกัน รายใหม่ที่เพิ่มเข้ามา Philip Seymour Hoffman  ต้องมีอะไรให้พูดถึง ความร้าย!? ของพี่แก มันหลอกเราได้(แม้จะสปอยจากการอ่านนิยายมาแล้ว) ,Jena Malone โผล่มาก็แย่งซีนแล้ว รายนี้  และที่อยากพูดถึง Sam Claflin ในบท Finnick ที่ในนิยายจะมีบทบาทมากกว่านี้ เข้าใจว่า บางอย่างต้องเอาออกเพื่อจะเสริมอีกสิ่งเข้ามาแทน ชอบครับ คนนี้  และที่สำคัญคือภาคนี้ได้รับเงินทุนเพิ่มขึ้น เราเลยมีโอกาสได้เห็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น 


ตัวหนังเริ่มต้นจากภาคแรก โดยไม่ต้องไม่เสียเวลาเล่าย้อน นั้นคือ เดินหน้า ไปอย่างเดียว ครั้งก่อนเราสัมผัสได้ถึงความกดดันมหาศาล ภาคนี้ไม่ต่างกัน ซ้ำร้ายหนักกว่าเดิม ทั้งภาพหนังยังออกมาในอารมณ์ดาร์กๆ ประกอบกับความหนาวเหน็บของสภาพอากาศในช่วงต้นเรื่อง มันแทบมองไม่เห็นแสงแงความหวังแม้แต่น้อย หนังเปิดฉากในรุ่งอรุณเช้าวันใหม่ ซึ่งเป็นฉากที่ส่วนตัวรู้สึกว่า มันอบอุ่น และน่าจะเป็นแสงแห่งความหวังจางๆที่ทำให้ตัวละคร(และคนดู)มีแรงสู้ต่อไป ช่วงครึ่งแรกจะเป็น Victory Tour ก่อนครึ่งหลังจะหันเข้าไปสู่เกม ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 75 หรือที่เรียกว่า Quarter Quell ซึ่งกติกา จะแตกต่างจากครั้งก่อนๆ และแม้ภาคนี้การแข่งขันจะน้อยกว่าภาคแรก ก็อย่างที่บอกมันไม่ใช่ใจความหลักของหนัง ความโหดร้ายในเกมคือความตาย จบแล้วจบกัน ในขณะที่ภายนอกเกม คือการตายทั้งเป็น ความสนุกของมันไม่ใช่เห็นคนฆ่ากันตาย แต่ความสนุกของมันคือการได้เห็นตัวละครเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์ที่มืดแปดด้าน ไม่ใช่ชนะในเกมเท่านั้น แต่เป็นการเอาชนะในโลกภายนอกจริงๆต่างหาก และนั่นไม่แปลกเลยที่ทำไม เกม จึงไม่ใช่ส่วนสำคัญที่สุดของหนัง



ส่วนตัวแล้วชอบมากครับ และมันทำให้จักรวาลของ  The Hunger Games   มีขอบเขตที่กว้างจากการเพิ่มเติมในภาคสองนี้ ตอนจบก็ยังขยายไปสู่ประเด็นที่จริงจังขึ้น ด้วยความที่หนังเป็นตัวคั่นกลางระหว่างภาคแรกและภาครองสุดท้าย จึงอาจทำให้อารมณ์หนังที่พีค ถูกตัดจบแบบห้วนไปหน่อย ซึ่งมันก็เป็นทั้งข้อดีและข้อด้อย  ไม่ว่าจะอย่างไร  ใครที่มองหาหนังดีๆดูแล้วล่ะก็ Catching Fire  ไม่ใช่ตัวเลือกแต่เป็น คำตอบที่ดีที่สุด ณ เวลานี้ 







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น