วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Talk about : ก่อนความฝันจะล่มสลาย โดย แสตมป์


เดิมทีผมเตรียมเงินจำนวนสองร้อยกว่าบาท เดินเข้าร้านหนังสือเพื่อจะไปซื้อหนังสือติวสอบแอดมิชชั่นที่เรียกว่า Gat ไทย หรือ Gat เชื่อมโยง แตพลันสายตาดันไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งโดนมาก ทั้งการออกแบบ ชื่อหนังสือและที่สำคัญ นี่มัน พี่แสตมป์ นี่หว่า แล้วความตั้งใจ ณ จุดๆนั้น จึงกลายมาเป็นหนังสือชื่อเจ๋งๆเล่มนี้ "ก่อนความฝันจะล่มสลาย"



ผมรู้จักชื่อชายคนนี้ แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข เื่มื่อครั้งผมอยู่มอต้น ถ้าจะระบุคงเป็นตอนมอสอง จากเพลง ทฤาฎีสีชมพู ที่ผมรู้สึกคือ ทำไมเพลงมันถึงได้มีเสน่ห์แบบนี้ แต่ผมก็ยังไม่ได้เทใจหลงรักเขาคนนี้ จนกระทั่งเพลง ความคิด ลอยเข้ามาในหูผมและค่อยๆซึมลงไปในใจ ผมถุงกับร้องไห้ให้กับเพลงนี้ มันเป็นเหมือนกุญแจที่ไปเปิดประตูความรู้สึกลึกๆบางสิ่งที่เราอยากเก็บมันไว้ให้ลึกๆที่สุด จากวันนั้น ผมก็ติดตามผลงานของชายคนนี้ แสตมป์ มาโดยตลอด และอยากจะบอกอบ่างหนึ่งคือ พี่แสตมป์คืออีกหนึ่งไอดอล ที่ผมเต็มใจนับถือ



มีหลายอย่างที่ผมเชื่อว่าใครอีกหลายคนก็อยากรู้ ผมว่าพี่แสตมป์ก็คงทราบดี จึงได้ตัดสินใจคลอด Pocket Book เล่มแรกในชีวิตของพี่แกออกมา และผมรู้สึกสนุกมากที่ได้อ่าน มันมีความเป็นกันเอง เหมือนเรานั่งฟังพี่แสตมป์เล่าชีวิตที่ผ่านมาให้ฟัง มากกว่า 



ใครที่เป็นแฟนๆพี่แสตมป์แล้ว คุณจะยอมพลาดหนังสือเล่มนี้จริงๆหรือ?  ส่วนใครที่ยังลังเลใจว่าจะมอบหัวใจให้กับชายคนนี้ดีไหม คุณลองฟังเพลง ชายกลาง ของเค้านะ แล้วคุณจะรู้ว่า เขาจะไม่ทำให้คุณต้องผิดหวัง


The Hunger Games: Catching Fire : It's Time To Revolution !

The Hunger Games: Catching Fire : It's Time To Revolution !




คนมักจะคิดว่า The Hunger Games จะต้องดำเนินเรื่องไปในการแข่งขันเกม พวกเขาเหล่านั้น ไม่เข้าใจ มันไม่ใช่ หากแต่ The Hunger Games มันคือ อุปกรณ์ ชิ้นหนึ่งที่อยู่ในระบบของการกดขี่โดยระบอบการปกครองที่ไร้ซึ่งความยุติธรรม --- ไม่ดราม่าการเมืองแน่นอน แค่เบื่อคนที่เข้าไปเพื่อหวังจะดู เพียง คนฆ่ากัน ได้โปรดเถอะ !


หากการอ่านหนังสือครบทั้งสามเล่มซ้ำยังมีไว้ครอบครอง ผมอาจกล้าเรียกตัวเองได้ว่า เป็นแฟนหนังสือ แต่นั่นคงเป็นการพูดเกินจริง เพราะผมไม่ได้รู้สึกชอบตัวนิยายมากขนาดนั้น ทำไมน่ะหรอ ก็มันติดกลิ่นทไวไลท์มากๆ ผมจึงขอเรียกตัวเองว่าเป็น แฟนหนัง ฟังดูสบายใจกว่าเยอะ  เพราะอะไร เพราะในนิยายนั้น หนังมุ่งเน้นไปที่ พาร์ทความรักอย่างเกินงาม โดยเฉพาะในเล่มสาม ที่รู้สึกเอียนๆอยู่ไม่น้อย แต่ในหนัง ทิศทางหลักคือการถูกกดขี่และลุกฮือขึ้นสู้กับการปกครองที่ไม่เป็นธรรม เพื่อค้นหาอิสรภาพ แะหนังดันขยี้ปมนี้ออกมาได้อย่างน่าชื่นชม และถูกตอกย้ำอย่างชัดเจนเมื่อการมาถึงของ Catching Fire 




ใครที่ชอบภาคแรก 'ไม่มีทาง' ที่คุณจะไม่ปลื้ม Catching Fire  แม้หนังจะเปลี่ยนตัวผู้กำกับจาก Gary Ross ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วชอบวิสัยทัศน์ที่แกมีต่อ The Hunger Games  ภาคแรกมากๆ มันเป็นการฉีกหน้าหนังสือแล้วอาศัยแค่บางส่วนและเพราะวิสัยทัศน์ที่เฉียบคมของแกนี่ล่ะ เลยทำให้หนังมีทิศทางอย่างที่เห็น ผมแอบหวั่นว่า Francis Lawrence ผู้กำกับที่มาทำต่อจะไปยึดเอาตามหนังสือ เพราะนันหมายถึงการไม่ซื่อสัตย์ต่อหนังภาคแรกแต่หันไปซื่อสัตย์กับตัวนิยายแทน แต่ไม่เลย Francis Lawrence ยังคงสานต่อตามที่ Ross ได้เริ่มไว้ และเผลอๆอาจทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ ผมมองว่าผู้กำกับ  Lawrence  แกเป็นคนมีของนะ แม้จะมีหนังใหญ่แค่สี่เรื่องเท่านั้น ใน Catching Fire นี้ Lawrence ทำได้ดีมากจริงๆ


ส่วนหนึ่งที่หนังไปได้ไกล ได้ดีแบบนี้ ลำพังแค่อาศัยผู้กำกับ คนเขียนบท หรือคนเบื้องหลังมันก็ไม่ใช่ที่ นักแสดง เป็นส่วนสำคัญมากๆ ราศรีออสการ์ของ Jennifer Lawrence  มันน่าจับตามาก ไม่เพียงแต่การตีบท Katniss Everdeen ให้ออกมาได้อย่างหมดจด แต่เชื่อว่าตัวละครตัวนี้จะมีอิทธิพลกับคนดูไม่ต่างจากผู้คนเขตต่างๆในหนัง และกล้าพูดได้เลยว่า Jennifer Lawrence โอบอุ้มหนังเรื่องนี้ไว้ทั้งเรื่อง Josh Hutcherson  ในบท Peeta Mellark นักแสดงรายนี้ ผมชอบมากตั้งแต่ตอนเด็กๆที่ได้ดูเรื่อง Bridge to Terabithia Bridge to Terabithia  ที่ขโมยน้ำตาผมไป ใน Catching Fire  นั้นน่าเสียดายที่ Hutcherson ไม่ได้ใช้การแสดงที่มีอยู่ได้มากพอ หรือถูกกลบด้วย Lawrence ก็ไม่รู้ าทางฝั่งของน้องชายเทพเจ้า Thor อย่าง Liam Hemsworth  นักแสดงรายนี้ โผล่ๆมาแปปๆ แต่น่าตรึงใจกว่าอาจด้วยต้นทุนด้านน่าตาก็เป็นได้ เพราะโดยส่วนตัวยังไม่เคยเห็นหนังที่พี่แกได้แสดงแบบรับบทนำมาก่อนเลย แต่ถ้าวัดจากที่เห็นขอบกว่า น่าจับตามอง ส่วนรายอื่นๆที่เหลือ Woody Harrelson,Elizabeth Banks,Donald Sutherland ต่างก็มีส่วนช่วยให้หนัง "ถึง" อย่างที่ได้สัมผัสกัน รายใหม่ที่เพิ่มเข้ามา Philip Seymour Hoffman  ต้องมีอะไรให้พูดถึง ความร้าย!? ของพี่แก มันหลอกเราได้(แม้จะสปอยจากการอ่านนิยายมาแล้ว) ,Jena Malone โผล่มาก็แย่งซีนแล้ว รายนี้  และที่อยากพูดถึง Sam Claflin ในบท Finnick ที่ในนิยายจะมีบทบาทมากกว่านี้ เข้าใจว่า บางอย่างต้องเอาออกเพื่อจะเสริมอีกสิ่งเข้ามาแทน ชอบครับ คนนี้  และที่สำคัญคือภาคนี้ได้รับเงินทุนเพิ่มขึ้น เราเลยมีโอกาสได้เห็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น 


ตัวหนังเริ่มต้นจากภาคแรก โดยไม่ต้องไม่เสียเวลาเล่าย้อน นั้นคือ เดินหน้า ไปอย่างเดียว ครั้งก่อนเราสัมผัสได้ถึงความกดดันมหาศาล ภาคนี้ไม่ต่างกัน ซ้ำร้ายหนักกว่าเดิม ทั้งภาพหนังยังออกมาในอารมณ์ดาร์กๆ ประกอบกับความหนาวเหน็บของสภาพอากาศในช่วงต้นเรื่อง มันแทบมองไม่เห็นแสงแงความหวังแม้แต่น้อย หนังเปิดฉากในรุ่งอรุณเช้าวันใหม่ ซึ่งเป็นฉากที่ส่วนตัวรู้สึกว่า มันอบอุ่น และน่าจะเป็นแสงแห่งความหวังจางๆที่ทำให้ตัวละคร(และคนดู)มีแรงสู้ต่อไป ช่วงครึ่งแรกจะเป็น Victory Tour ก่อนครึ่งหลังจะหันเข้าไปสู่เกม ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 75 หรือที่เรียกว่า Quarter Quell ซึ่งกติกา จะแตกต่างจากครั้งก่อนๆ และแม้ภาคนี้การแข่งขันจะน้อยกว่าภาคแรก ก็อย่างที่บอกมันไม่ใช่ใจความหลักของหนัง ความโหดร้ายในเกมคือความตาย จบแล้วจบกัน ในขณะที่ภายนอกเกม คือการตายทั้งเป็น ความสนุกของมันไม่ใช่เห็นคนฆ่ากันตาย แต่ความสนุกของมันคือการได้เห็นตัวละครเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์ที่มืดแปดด้าน ไม่ใช่ชนะในเกมเท่านั้น แต่เป็นการเอาชนะในโลกภายนอกจริงๆต่างหาก และนั่นไม่แปลกเลยที่ทำไม เกม จึงไม่ใช่ส่วนสำคัญที่สุดของหนัง



ส่วนตัวแล้วชอบมากครับ และมันทำให้จักรวาลของ  The Hunger Games   มีขอบเขตที่กว้างจากการเพิ่มเติมในภาคสองนี้ ตอนจบก็ยังขยายไปสู่ประเด็นที่จริงจังขึ้น ด้วยความที่หนังเป็นตัวคั่นกลางระหว่างภาคแรกและภาครองสุดท้าย จึงอาจทำให้อารมณ์หนังที่พีค ถูกตัดจบแบบห้วนไปหน่อย ซึ่งมันก็เป็นทั้งข้อดีและข้อด้อย  ไม่ว่าจะอย่างไร  ใครที่มองหาหนังดีๆดูแล้วล่ะก็ Catching Fire  ไม่ใช่ตัวเลือกแต่เป็น คำตอบที่ดีที่สุด ณ เวลานี้ 







วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Thor: The Dark World :สองพี่น้องแห่งแอสการ์ด


Thor: The Dark World :สองพี่น้องแห่งแอสการ์ด 


น่าดูเป็นที่สุด ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใครหลายคนจะคิดแบบนี้ ผมเองก็เป็นแบบนั้น เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะในบรรดาทีมอเวนเจอร์นั้น ผมหลงรัก Thor เป็นที่สุด ถ้าจะให้ถูกกว่านั้นก็คือ Loki ด้วย 


ขอย้อนเวลากลับไปตอนที่ Thor ภาคแรกเข้าฉาย ผมชอบมาก ผมสัมผัสได้ถึงความโรแมนติกบางอย่าง ไม่ว่ามันจะด้วยความบังเอิญหรือไม่ก็ตาม มันได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า'เสน่ห์เอาไว้ ทั้งการเป็นหนังฮีโร่ที่ควรจะมี และควรจะเป็น Thor น่าจะเป็นโจทย์ที่หินมากๆ เพราะด้วยเนื้อหาแล้วมันsurreal สุดๆ แต่หนังก็สามารถหาจุดสมดุลออกมาได้ และยังสรรค์สร้างตัวละครที่น่าจดจำ ในส่วนนี้ ต้องยกเครดิตให้นักแสดง เช่นเดียวกับหนังที่ออกมาคู่กันในปีนั้นอย่าง Captain America บางอย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างต้นก็คือ 



---"ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่าทำไม หนัง THOR และ Captain America มันถึงโรแมนติกอะไรอย่างนี้ THOR เริ่มเรื่องที่หญิงสาวคนหนึ่งผู้ซึ่งเชื่อมั่นในสิ่งที่เธอทำ วันหนึ่งเธอได้พบกับชายหนุ่มรูปงามที่หล่นมาจากท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ เขาเป็นเหมือนเจ้าชายที่มาช่วยกอบกู้โลก รวมทั้งช่วยชีวิตเธอ ในฉากท้ายเรื่องเธอ มองขึ้นไปเบื้องบน เฝ้าฝันว่าในสักวัน จะได้พบกันอีกครั้ง เช่นเดียวกับชายผู้นั้นที่มองลงมายังเบื้องล่างหวังว่าจะมองเห็นเธอ ส่วน Captain America ชายหนุ่มผู้ไม่เคยย่อท้อต่อโชคชะตา แม้จะไม่มีใครเหลียวมองชายธรรมดาผู้นี้ก็ตาม นานวันเขาเลิกที่จะคิดถึงในเรื่องความรัก แต่แล้วเขาก็ได้พบกับหญิงงาม ผู้มองเห็นจิตใจอันแน่วแน่ จนวันนึงจากชายหนุ่มผู้อ่อนแอ กลับกลายเป็นชายหนุ่มผู้ที่คนทั้งหลายต่างยอมรับ แต่แล้วโชคชะตากลับเล่นตลก หญิงสาวอยู่ในสถานที่เดิมๆ สิ่งเดิมๆโดยไม่มีชายหนุ่มอยู่เคียงข้าง ส่วนชายหนุ่มผู้นั้นอยู่ในโลกใหม่ สถานที่ใหม่ โดยปราศจากหญิงสาวยืนเคียงข้าง ไม่รู้คู่ไหน น่าเศร้ากว่ากัน แต่ผม ก็รักหนังทั้ง นี้มาก "--- 



เลิกเพ้อแล้วกลับมายัง Thor: The Dark World อันที่จริงหนังก็ได้ปูประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ของพี่น้องเอาไว้แล้วระหว่าง Thor และ Loki ในภาคแรก ก่อนที่ภาคนี้จะถูกหยิบยืมมาสานต่อและดูเหมือนจะไปได้ไกลกว่าเดิม บางสิ่งหายไปและบางสิ่งเข้ามาแทนที่ 


โดยเนื้อหาแล้วผมไม่ค่อยอยากพูดถึงเพราะผมไม่ใช่แฟนคอมมิค กลัวว่ากล่าวไปแล้วจะเป็นการบิดเบือน ถ้ากล่าวผิดไปก็ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ แต่ในหนังนั้นเนื้อหาก็ไม่ได้ซับซ้อนแต่หนังกลับผลิกแพลงได้อย่างน่ารักน่าชัง กล่าวคือ เหล่าดาร์คเอล์ฟวางแผนจะนำโลกทั้งเก้ามาเรียงตัวกันเพื่อที่จะยึดครองโดยมีอาวุธที่เรียกว่า อีเธอร์ แต่ก็ถูกยึดมาได้และ อีเธอร์นั้นถูกเก็บซ่อนไว้ ก่อนที่ เจน จะบังเอิญไปพบเจอเข้าระหว่างที่เธอพยายามหาประตูมิติเพื่อจะไปพบเจอกับธอร์อีกครั้ง แต่แล้วเจ้าอีเธอร์นั้นกลับเข้าไปอยู่ในร่างของเธอ ธอร์ซึ่งเฝ้าดูแลเธอจากแอสการ์ดเห็นว่าผิดปกติ จึงได้มายังโลกเพื่อพาเธอกลับไป อีกด้านหนึ่ง พวกดาร์คเอล์ฟที่กำลังหลับใหลก็รับรู้ถึงขุมพลัง พวกมันจึงเข้าบุกแอสการ์ด ส่วนโลกิหลังจากเหตุการณ์ที่นิวยอร์กเข้าถูกคุมขังเอาไว้ เมื่อพวกดาร์คเอล์ฟเข้าบุกแอสการ์ดทำให้เหตุการณ์นั้นสร้างความสะเทือนใจให้กับธอร์และโอดินที่แม้จะรักษาชีวิตของเจนไว้ได้แต่ก็ต้องแลกกับอีกหนึ่งชีวิต ซึ่งนั่นทำให้ โอดิน เสียศูนย์ ธอร์วางแผนที่จะกำจัดพวกดาร์คเอล์ฟแต่โอดินไม่เห็นด้วย เขาจึงต้องขอความช่วยเหลือจากผองเพื่อนรวมทั้งน้องชายตัวร้ายเพื่อให้แผนนี้สำเร็จ ความผลิกแผลงที่ว่านั่นมีให้เห็นอยู่ประปรายทั้งเรื่อง เพลินมากโดยเฉพาะฉากช่วงท้ายที่ได้ครบทั้งมันส์ ทั้งฮา 


หนังมาพร้อมกับ Production ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ฮากแอ๊คชั่นที่จัดเต็ม จัดหนัก และที่สำคัญคือหนังยังไม่ทิ้งให้คนดูต้องนั่งเปลี่ยวในโรงไปกลับฉากแอ๊คชั่นที่จำเจ เหมือนหนังฮีโร่บางเรื่องของปีนี้ อุ้บส์! ส่วนทางด้านดราม่านั้น หนังอาจไม่ลงลึกเท่าภาคแรกแต่ก็มีเวลาให้คนดูได้ซึบซับไม่ว่าจะเหตุการณ์หลังบุกแอสการ์ด หรือในฉากที่โลกิเข้าช่วยธอร์ 

หนังเปลี่ยนตัวผู้กำกับมาเป็น Alan Taylor จากเดิมคือ Kenneth Branagh ซึ่ง Taylor นั้นส่วนตัวชอบมากๆจากซีรี่ย์อย่าง Game of Thrones และเขาก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย ยังได้อารมณ์ขัน ที่รับรองความฮา ซึ่ง ณ จุดๆนี้ น่าจะได้รับการปรุงแต่งจาก Joss Whedon มาด้วย 


ใครที่เป็นแฟนมาร์เวล ไม่มีผิดหวัง และอย่าลืม End Credit ตอนท้ายเรื่อง เพื่อนผมซึ่งเป็นแฟนคอมมิคบอกว่าอัญมณีดังกล่าวจะถูกใช้เป็นอาวุธให้กับ ธานอส ก็ตัวร้ายที่โผล่มาตอนท้ายเรื่องใน The Avengers น่ะแหละ ไม่รู้จริงเท็จแค่ไหน สุดท้ายคงต้องรอดู !


Last Summer :"เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย"

"เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย"



เชื่อว่าหนังเรื่องนี้มีการวางแผนมาค่อนข้างดีเลย เรียกได้ว่าถ้าเมื่อสี่ห้าปีก่อน มีหนังแบบนี้ออกมาต้องเป็นกระแสอยู่พักหนึ่งเลย แต่เมื่อหนังมาช้า และยังทำเก๋ด้วยการเล่นท่ายากที่มันซ้ำรอยหนังเรื่องอื่น ผลลัพธ์มันเลยออกมาก่ำกึ่งระหว่างคนที่ชอบและไม่ชอบ



คนที่ดูหนังเรื่องนี้เดาๆว่าคงมีสองประเภทหนึ่งเลยคือดูดารา และสองคือมาดูหนังคุณภาพ



ดาราที่ว่าก็คือ เก้า จิรายุ ละอองมณี ที่นับวันจะฮอตมากขึ้นทุกวันๆ โดยส่วนตัวเคยมีโอกาสใกล้ชิดกับนักแสดงคนนี้ จากงาน event ต้องบอกว่า เก้า มีความเป็นกันเองสูงมาก ไม่รู้นะว่าคนอื่นคิดยังไงกับนักแสดงคนนี้ แต่ผมบอกเลยผมเป็น FC ของเก้าแบบว่า 'สุดติ่ง' และ ปันปัน สุทัตตา อุดมศิลป์ รายนี้ก็เป็นที่รักของวัยรุ่นยุคนี้รวมทั้งผมที่ชื่นชอบน้องเขาตั้งแต่ลัดดาแลนด์ จนมาถึง รัก 7 ปี ดี 7 หน ที่ได้มาคู่กับ เก้า และกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งใน Last Summer นี้ ซึ่งเดิมทีก็แอบสงสัยนะว่า ทำไม ต้อง เก้า กับ ปันปัน !?   


ไหนๆก็พูดถึงนักแสดงแล้ว สองคนที่กล่าวไปแล้ว ได้ผ่านผลงานมากมาย เรื่องการแสดงคงไม่ต้องพูดถึงว่ามีความ expert มากแค่ไหน แต่ที่เป็นเซอร์ไพร์สจริงๆ คงเป็นนักแสดงอีกสองคน คนแรกคือ อาย พิมพกานต์ แพร่คุณธรรม รับบท จอย ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว แสดงได้ดีกว่า นักแสดง เด็กในรุ่นราวคราวเดียวกัน(อันจะเห็นได้จากหนังเรื่องอื่นๆ คงไม่ต้องยกตัวอย่างนะ ในปีนี้ก็มีให้เห็น ) จะว่าไปก็ไม่แปลกเพราะ อาย เคยเข้าประกวดเวที The Acting Queen มาแล้ว อีกคนที่เซอร์ไพร์ส ของจริงคือ เบสท์ เอกวัฒน์ เอกอัจฉริยา ในเรื่องรับบทเป็น ติ่ง น้องชายของ จอย  ซึ่งเบสถ่ายทอดบทนี้ออกมาได้น่าประทับใจ นี่ถ้าบทหนังสามารถส่งอีกนิดให้เวลากับตัวละครตัวนี้อีกหน่อย จะดีมาก เพราะโดยรวมๆแล้ว หนังใช้เวลาไปราวๆชั่วโมงครึ่ง และหนังไปอืดใช่วงพาร์ทสอง  ซึ่งเป็นตอนของปันปัน ที่ยืดย้วยไปกับมุกหลอกผีที่ไม่ชวนให้น่าหวาดกลัวแต่อย่างใด


อีกอย่างที่น่าจะเรียกแขกได้ สำหรับผู้ที่คาดหวังในคุณภาพ คือ การขายชื่อของ คงเดช จาตุรันต์รัศมี ในฐานะคนเขียนบท เครดิตของเขานั้นมากมายเหลือหลายทั้งงานเขียนบทและกำกับ ยกตัวอย่างที่ชัดเจน เรื่อง กอด, แต่เพียงผู้เดียว และล่าสุดกับ ตั้งวง ที่เหมือนจะไปไกลถึงเวทีโลกแล้วซึ่งในส่วนนี้น่าจะทำให้ใครหลายคนรวมทั้งผมตั้งข้อสังเกตไว้ว่า มันน่าจะมีอะไร มากกว่าหนังไทยเรื่องอื่นๆนะ


หนังแบ่งออกเป็นสามพาร์ทโดยจะเป็นเรื่องราวของบุคคลที่รายล้อมตัวละคร จอย ในส่วนแรกจะเน้นไปที่ตัวละคร เก้า จิรายุ และในส่วนแรกนี้คือความสนุกที่สุดของหนัง เพราะหนังวางโครงเรื่อง ปริศนาให้ขบคิดได้เป็นอย่างดี ย้ำว่าดีจริงๆ มุมกล้องการจัดวางภาพ จังหวะหนังดูลื่นไหล



แต่พอเข้าสู่แอ๊คสอง หนังลิงค์ไปที่ตัวละครของปันปัน หนังเริ่มเสียหลักเพราะแทนที่หนังจะไปช่วยตอบคำถามที่ปูไว้ในช่วงต้น หนังกลับใส่ประเด็นใหม่เข้ามาอีก และอย่างที่บอกไปคือ ช่วงนี้หนังอืดมาก มุกหลอกผีไม่ทำงานเลย เหมือนกับว่าแค่มาดูในช่วงสองนาทีก่อนจบพาร์ทสองก็เพียงพอแล้ว


หลังจากนั้นหนังโยนคนดูไปที่ตัวละครลับ อย่างน้องชายของจอย หรือ ติ่ง รับบทโดย เบส นั่นเอง หนังก็ไปผูกประเด็นใหม่มาอีก นั่นคือ ครอบครัว ซึ่งหนังทำออกมาไม่สุด และเช่นเคยมุกหลอกผีที่เฉย  รวมถึงที่ว่ามันไม่ make sense เมื่อมองจากภาพรวมแล้วหนังดรอปลงเรื่อยๆ และไม่อิมแพคในช่วงท้ายอย่างที่มันควรจะเป็น


ผมไม่รู้นะว่าการดำเนินเรื่องมันคล้ายๆกับหนังฝรั่งเรื่องไหน ซึ่งผมไม่มีปัญหากับการได้รับแรงบันดาลใจมากจากหนังเรื่องอื่นๆ ขอแค่มันไม่ใช่การ copy มาทั้งดุ้นก็พอ อย่างใน 'แต่เพียงผู้เดียวไม่บอกก็รู้ว่าต้องมีหนังเรื่อง Following ของ โนแลน เจืออยู่ แต่มันเป็นการประดิษฐ์ใหม่ที่น่าพอใจ พูดถึงในทางทฤษฎี Last Summer มันก็ดูดีในแบบที่เป็น แต่อาจเป็นเพราะการกำกับของผู้กำกับทั้งสามคน ไม่รู้ว่าแบ่งการทำงานกันยังไง อาจมีการพูดถึงภาพรวมก่อน หรืออาจจะแยกงานกันทำคนละพาร์ทแล้วมารวมกันหรือเปล่า เนื่องจากอารมณ์หนังมันขึ้นๆลงๆ ขาดๆเกินๆ ซึ่งหากใครเคยดู บอกเล่า เก้าศพ แล้วเปรียบเทียบจะพบว่าเรื่องหลังนั้นดูดีกว่า



แม้หนังจะขาดๆเกินๆ แต่หนังก็ไม่ได้ไร้แก่นสาร เพราะหนังมาพร้อมกับประเด็นที่หนักและการนำเสนอที่จริงจัง ว่าด้วยเรื่องราวของวัยรุ่นที่ต้องใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่เป็นจุดเปลี่ยนหลายๆอย่าง ทั้งภายนอกและภายใน เรื่องของความรัก sex เพศ (ในพาร์ทแรก) เรื่องของเพื่อน มิตรภาพ (ในพาร์ทสอง) และครอบครัว สายสัมพันธ์ที่เปราะบาง คามคาดหวังต่างๆนานา (ในพาร์ทสาม) เหมือนหนังกำลังจะบอกว่า "เป็นวัยรุ่นน่ะ มันเหนื่อย"