วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2558

ฺMy Best Movie 2014


สิ้นปีมาถึงอีกครา ช่วงเวลาที่พาเหรดหนังดีแห่แหนกันลงจอให้ผู้คนได้เข้าไปพิสูจน์ ฤดูหนังรางวัล เป็นช่วงที่ผมชื่นชอบเป็นที่สุดแม้ส่วนตัวจะค่อนข้างไม่ถูกกับฤดูหนาว อีกทั้งยังเป็นธรรมเนียมที่หลายคนจะจัดลิสท์หนังที่ได้ดูมาตลอดปี ว่ามีหนังเรื่องไหนที่พอจะเข้าค่ายหนังที่ชื่นชอบได้บ้าง ยอมรับว่าปีนี้แทบจะไม่ได้แตะหนังฝั่งเอเชียเลย ส่วนใหญ่จะมาจากการดูหนังเก่าๆหรือไม่ก็จะเป็นฝั่งหนังไทยเสียมากกว่า    และโปรเจคปิดท้ายปีหนังฝรั่งของผมคือ The Hobbit: The Battle of the Five Armies และก็ได้ชำระไปเรียบร้อยจากการดูในวันแรกที่หนังเข้าฉาย พร้อมๆกับระบบซื้อขายตั๋วหนังที่จู่ๆก็ล่มขึ้นมาเสียอย่างนั้น 

ดังนั้น เมื่อบรรลุปณิธานการดูหนังของปีนี้ไปแล้ว ผมจึงขอรวบรวมรายชื่อหนังที่ผมได้ดูในปีนี้ ย้ำว่าหนังที่เข้าฉายในไทย ในปี 2013 เท่านั้น โดยลิสท์รายชื่อมาได้ทั้งสิ้น 30 รายชื่อ และขอเรียงตามลำดับความชอบเลยล่ะกัน ถูกใจใคร ขัดใจคงต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง


1.        Boyhood
ทำไมต้องดู : เพราะนี่คือหนังที่ได้รับการกล่าวขานกันอย่างมากมายว่าจะมีบทบาทอย่างมากในเวทีรางวัล เมื่อได้ดูจะพบว่า มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

2.
       Inside Llewyn Davis
ทำไมต้องดู : แม้ออสการ์จะให้รางวัลหนังเรื่องนี้น้อยกว่าความเป็นจริง ก็ไม่ได้ลดทอนคุณค่าของหนังลงไปแต่อย่างใด หนังเหงาๆ ของนักดนตรีที่อนาคตดูมืดมัว ในบรรยากาศหนาวๆ เพลงเพราะๆ ผลงานกำกับของสองพี่น้องโคเอ็น

3.
       The Fault in Our Stars
ทำไมต้องดู : หนังสร้างจากนิยาย YA ชื่อเดียวกันของนักเขียนที่น่าจับตา John Green เล่าเรื่องราวความรักของเด็กหนุ่มหญิงสาว ที่ต้องต่อสู้กับมะเร็งร้าย ในช่วงสุดท้ายชีวิต

4.
       Begin Again
ทำไมต้องดู : เป็นหนังโลกสวยที่ดูแล้วหัวใจพองโตอย่างบอกไม่ถูก แม้หนังจะไม่หวือหวาเทียบเท่า Once แต่ด้วยการที่หนังเปิดประตูเชื้อเชิญคนดูเข้าไปสัมผัสกับโลกดนตรีได้อย่างหมดตัว พร้อมๆกับกระแสเพลง Lost Stars ที่ฮิตติดลมบนจนถึงทุกวั้นนี้

5.
       Gone Girl
ทำไมต้องดู : เพราะนี่คือหนังฮิตเสียยิ่งกว่าอิตของผู้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์ แม้จะไม่สมบูรณ์แบบเท่า The Social Network แต่ Gone Girl กับให้รสที่เผ็ด เข็ดฝัน และตอนจบที่หลอนจับใจ

6.       The Wind Rises
ทำไมต้องดู : แม้หนังจะมีความยาวกว่าสองชั่วโมง แม้ช่วงกลางเรื่องจะยืดเยื้อไปบ้าง แต่ใครจะกล้าปฏิเสธว่านี่คือ Masterpiece อีกเรื่องของ อาจารย์ ฮายาโอะ มิยาซากิ แห่งค่ายจิบลิ

7.
       Her
ทำไมต้องดู : สไปค์ โจนส์ เป็นคนทำหนังรุ่นใหม่ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพหลายๆด้าน และหนังเหงาๆซึม ของชายผู้ตกหลุมรักระบบปฏิบัติการเรื่องนี้คือหลักฐานชั้นดี

8.
       Whilplash
ทำไมต้องดู : ผลงานมีชั้นเชิงเหลือร้ายของผู้กำกับ Damien Chazelle เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากหลายเสียงว่ารสชาติถึงพริก ถึงขิง หนังจบแต่เสียงกลองยังคงสั่นระรัวในโสตประสาต
9.       Under the Skin
ทำไมต้องดู : ยากจะบรรยายกับการได้ดูหนังเรื่องนี้ หนังพูดน้อยแต่ต่อยหนัก ในความว่างเปล่ากลับหนักอึ้ง แม้จะไม่เข้าใจ Message ที่หนังต้องการจะสื่อได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่กับติดค้างอยู่ในใจ ให้ทบทวนตลอดเวลา

10.
    Saving Mr. Banks
ทำไมต้องดู : หนังขายการแสดง สร้างจากเรื่องจริงผ่านการปรุงแต่งอันชาญลาดส่งผลให้หนังเรื่องนี้ดูสนุกอย่างเหลือเชื่อ แม้จะติดกลิ่นการ์ตูนอยู่บ้าง แต่ด้วยความที่หนังเน้นบันเทิงทำให้การหยิบหนังเรื่องนี้มาดูซ้ำเป็นเรื่องไม่ยากเย็น  

11.
      Captain Phillips
ทำไมต้องดู : สร้างจากเรื่องจริง(อีกแล้ว) โดยผู้กำกับจอมสั่น พอล กรีนกราส์ส ตัวหนังทวีความตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆราวกับหนังรถไปเหาะตีลังกา

12.
     Big Hero 6
ทำไมต้องดู : นี่คือหนังที่มีอารมณ์ของ ดิสนี่ย์  มาร์เวล และ จิบลิ เข้าด้วยกันอย่างลงตัวจนก่อให้เกิดกระฟีเวอร์ เบย์แม็กซ์ กันในหมู่คนดู และส่วนตัวชอบกว่า Frozen เยอะ

13.
     Fury
ทำไมต้องดู : หนังสงครามเรื่องนี้ไม่ได้ขับเน้นด้วยฉากแอ็คชั่น สงครามหากแต่ดำเนินไปด้วยพลังของทีมนักแสดง และวิสัยทัศน์ของผู้กำกับ ผ่านสัญลักษณ์ ภาษาหนัง จนได้ผลลัพธ์ที่น่าจดจำ

14.
    Dawn of the Planet of the Apes
ทำไมต้องดู : หนังภาคต่ออันทรงคุณค่าที่คุณภาพล้ำหน้าแฟรนไชส์หนังชุดนี้ทุกภาค หนังอัดแน่นด้วยความลุ้นระทึก ดราม่า และตื้นตันใจ ไม่บอกก็รู้ว่านี่คือหนัง(แมส)ดีๆ อีกเรื่องของปีอย่างแท้จริง

15.    The Wolf of Wall Street
ทำไมต้องดู :   ผลงานของผู้กำกับ มาร์ติน สกอร์เซซี่ ที่มาพร้อมนักแสดงคู่บุญ ลีโอนาร์โด ดิคราปิโอ พร้อมเรื่องจริงของบุคคลที่ฉาวโฉ่อีกคนบนโลกอย่าง จอร์แดน เบลฟอร์ ผลลัพธ์คือหนังที่ตีแผ่เบื้องหน้า เบื้องลึกได้อย่างถึงก้นบึ้ง

16.
    All is Lost
ทำไมต้องดู : อาจเป็นความทรมาณใจเล็กน้อยระหว่างที่ดูหนังปราศจากคำพูดเรื่องนี้ ต่างจากความรู้สึกตอนจบอย่างมาก ที่อยากจะบอกกับคนอื่นๆว่า นี่ล่ะคือ ชีวิต (หนังมีความคล้ายคลึงกับ Gravity อยู่บ้างเพียงแต่สภาพแวดล้อมที่ต่างกัน)

17.
     Enemy
ทำไมต้องดู : การเล่าเรื่องขอหนังเรื่องี้เต็มไปด้วยปริศนาและสัญลักษณ์ ก่อนจะปิดม่านลงด้วย ฉากที่น่าตื่นตายิ่งกว่า ฉากหุ่นยนตร์ตะลุมบอนกัน ใครที่ดูหนังเรื่องนี้แล้วไม่ก่นด่าก็ต้องชื่นชม ล่ะว่ะ

18.
     The Grand Budapest Hotel
ทำไมต้องดู :  เวส แอนเดอร์สัน เป็นผู้กำกับที่มีแนวทางชัดเจนมากๆ จนมีแฟนบอยตามติดมากมาย และหนึ่งในนั้นคือผม นับจนถึงขณะนี้ยังไม่เคยรูจักคำว่า ผิดหวัง

19.
    Captain America: The Winter Soldier
ทำไมต้องดู : หากเปลี่ยนชื่อหนัง ตัดคำว่า กัปตันอเมริกา ออกไป นี่คือหนังสายลับชั้นเยี่ยม ที่เล่นกับความรู้สึกคนดูได้อย่างแยบยล
20.   Dallas Buyer Club
ทำไมต้องดู : ยอมรับว่าครึ่งหลังหนังดูดรอปลง แต่การแสดงของสองนักแสดงนำที่คว้าออสการ์ไปด้วยกันทั้งคู่ แมทธิว แมคคอนนาเฮย์ในบทนำชาย และ จาเร็ด เลโต้ ในบทสมทบชาย ช่วยโอบอุ้มหนังเรื่องนี้ได้อย่างน่าชื่นชม  
21.     X-Men : Days of Future Past
ทำไมต้องดู : เป็นการกลับมาหลังจาก First Class ที่ยิ่งใหญ่ และสนุก ไม่เสียรสชาติความเป็นเอ็กซ์เม็น เป็นการสานต่อเรื่องราวที่น่าจดจำ

22. Edge of Tomorrow
ทำไมต้องดู : เพราะนี่เป็นหนังแอ็คชั่นที่มีฉากแอ็คชั่น และเนื้อเรื่องที่เข้มข้น ทั้งยังเป็นการกลับมาของผู้กำกับ Doug Liman ที่น่าจดจำ

23. The Rover
ทำไมต้องดู : การแสดงที่น่าจดจำของสองนักแสดงนำ Guy Pearce และ Robert Pattinson ซึ่งจะไม่หลงเหลือคราบของนักแสดงหนุ่มสุดหล่ออีกต่อไป ด้วยรูปแบบการนำเสนอที่พูดน้อยแต่ต่อยหนัก มาในบรรยากาศที่แสนรกร้างของทะเลทรายแสนร้อนและกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา สถานการณ์ที่ลุ้นระทึก บีบบังคับ จัดว่าเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งของปีที่ไม่อยากให้พลาด

24. How to Train Your Dragon 2
ทำไมต้องดู : หนังภาคต่อที่ไม่เพียงแต่ทำเงินแต่ล่าสุดยังคว้ากล่องจากลูกโลกทองคำไปนอนกอดในสาขาอะนิเมชั่นยอดเยี่ยมแห่งปี ด้วยตัวเนื้อหาที่เติบโตขึ้นและประเด็นอันละเอียดอ่อนของคำว่า หน้าที่ อันมาพร้อม ครอบครัว และคนที่ต้องดูแล ส่งให้หนังเรื่อนี้เอาชนะใจกรรมการและนักวิจารณ์ได้ไม่ยาก

25. The Hobbit: The battle of the Five Armies
 ทำไมต้องดู : เนื้อหาอาจดูพร่องๆไป แต่ถูกแทนที่ด้วยฉากแอ็คชั่นสุดแสนอลังการงานสร้างที่ชวนให้ตะลึงงัน เป็นการอพลาโลกมิดเดิ้ลเอิร์ธที่น่าจดจำ

26. 12 Years a Slave
ทำไมต้องดู : เจ้าของออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปีที่แล้ว กับประเด็นเรื่องการค้าทาส การแบ่งแยกสีผิว ที่ดูจริง ทำให้หลายคนที่ได้ดูรู้สึกหดหู่ไปตามๆกัน

27. Guardians of the Galaxy
ทำไมต้องดู : เป็นตัวอย่างของหนังฮีโร่ที่ดี มีเสน่ห์น่าจดจำ ท่ามกลางหนังฮีโร่นับสิบเรื่องที่ผุดขึ้นมายิ่งเสียกว่าดอกเห็ด  Guardians of the Galaxy สอบผ่านด้านความบันเทิงได้อย่างขาดลอย

28. The Maze Runner
ทำไมต้องดู : กลายเป็นภาคต่ออันทรงคุณค่าอีกเรื่องหนึ่งของฮอลลีวู้ดไปแล้ว สำหรับ The Maze Runner แม้หลายคนจะบ่นถึงความไม่สมบูรณ์ในตัวหนังอยู่บ้าง แต่โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกชอบและลุ้นไปกับการผจญภัยของตัวละครจนอดที่จะเอ่ยปากชมไม่ได้

29. The Hunger Games: Mockingjay - Part 1
ทำไมต้องดู : หนังอาจดูเนิบนาบไปบ้าง แต่เนื้อในของหนังยังคงสร้างแรงสะเทือนได้อย่างน่าสนใจ แม้จะตอบโจทย์ความบันเทิงไม่ได้มากนัก

30. Interstellar
ทำไมต้องดู : เป็นหนังของ โนแลน ที่คุณภาพก่ำกึ้ง และส่วนตัวก็ไม่ได้รู้สึก หลงรัก แต่อย่างใด ที่ต้องเอ่ยปากชมคงเป็นเรื่องของเนื้อหา ที่ค่อนข้างแน่น และงานด้านภาพที่ดูดี ก็ส่งผลให้กลายเป็นความชื่นชอบในระดับกลายๆได้เช่นกัน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น