สิ้นปีมาถึงอีกครา
ช่วงเวลาที่พาเหรดหนังดีแห่แหนกันลงจอให้ผู้คนได้เข้าไปพิสูจน์ ฤดูหนังรางวัล
เป็นช่วงที่ผมชื่นชอบเป็นที่สุดแม้ส่วนตัวจะค่อนข้างไม่ถูกกับฤดูหนาว
อีกทั้งยังเป็นธรรมเนียมที่หลายคนจะจัดลิสท์หนังที่ได้ดูมาตลอดปี
ว่ามีหนังเรื่องไหนที่พอจะเข้าค่ายหนังที่ชื่นชอบได้บ้าง
ยอมรับว่าปีนี้แทบจะไม่ได้แตะหนังฝั่งเอเชียเลย
ส่วนใหญ่จะมาจากการดูหนังเก่าๆหรือไม่ก็จะเป็นฝั่งหนังไทยเสียมากกว่า และโปรเจคปิดท้ายปีหนังฝรั่งของผมคือ The
Hobbit: The Battle of the Five Armies และก็ได้ชำระไปเรียบร้อยจากการดูในวันแรกที่หนังเข้าฉาย
พร้อมๆกับระบบซื้อขายตั๋วหนังที่จู่ๆก็ล่มขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ดังนั้น
เมื่อบรรลุปณิธานการดูหนังของปีนี้ไปแล้ว
ผมจึงขอรวบรวมรายชื่อหนังที่ผมได้ดูในปีนี้ ย้ำว่าหนังที่เข้าฉายในไทย ในปี 2013 เท่านั้น
โดยลิสท์รายชื่อมาได้ทั้งสิ้น 30 รายชื่อ
และขอเรียงตามลำดับความชอบเลยล่ะกัน ถูกใจใคร ขัดใจคงต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง
1. Boyhood
ทำไมต้องดู : เพราะนี่คือหนังที่ได้รับการกล่าวขานกันอย่างมากมายว่าจะมีบทบาทอย่างมากในเวทีรางวัล
เมื่อได้ดูจะพบว่า มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
2. Inside Llewyn Davis
ทำไมต้องดู : แม้ออสการ์จะให้รางวัลหนังเรื่องนี้น้อยกว่าความเป็นจริง
ก็ไม่ได้ลดทอนคุณค่าของหนังลงไปแต่อย่างใด หนังเหงาๆ ของนักดนตรีที่อนาคตดูมืดมัว
ในบรรยากาศหนาวๆ เพลงเพราะๆ ผลงานกำกับของสองพี่น้องโคเอ็น
3. The Fault in Our Stars
ทำไมต้องดู : หนังสร้างจากนิยาย YA ชื่อเดียวกันของนักเขียนที่น่าจับตา John Green เล่าเรื่องราวความรักของเด็กหนุ่มหญิงสาว ที่ต้องต่อสู้กับมะเร็งร้าย
ในช่วงสุดท้ายชีวิต
4. Begin Again
ทำไมต้องดู : เป็นหนังโลกสวยที่ดูแล้วหัวใจพองโตอย่างบอกไม่ถูก
แม้หนังจะไม่หวือหวาเทียบเท่า Once แต่ด้วยการที่หนังเปิดประตูเชื้อเชิญคนดูเข้าไปสัมผัสกับโลกดนตรีได้อย่างหมดตัว
พร้อมๆกับกระแสเพลง Lost Stars ที่ฮิตติดลมบนจนถึงทุกวั้นนี้
5. Gone Girl
ทำไมต้องดู : เพราะนี่คือหนังฮิตเสียยิ่งกว่าอิตของผู้กำกับ
เดวิด ฟินเชอร์ แม้จะไม่สมบูรณ์แบบเท่า The Social Network แต่ Gone Girl กับให้รสที่เผ็ด เข็ดฝัน
และตอนจบที่หลอนจับใจ
6. The Wind Rises
ทำไมต้องดู : แม้หนังจะมีความยาวกว่าสองชั่วโมง
แม้ช่วงกลางเรื่องจะยืดเยื้อไปบ้าง แต่ใครจะกล้าปฏิเสธว่านี่คือ Masterpiece อีกเรื่องของ อาจารย์ ฮายาโอะ มิยาซากิ แห่งค่ายจิบลิ
7. Her
ทำไมต้องดู : สไปค์ โจนส์
เป็นคนทำหนังรุ่นใหม่ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพหลายๆด้าน และหนังเหงาๆซึม
ของชายผู้ตกหลุมรักระบบปฏิบัติการเรื่องนี้คือหลักฐานชั้นดี
8. Whilplash
ทำไมต้องดู : ผลงานมีชั้นเชิงเหลือร้ายของผู้กำกับ Damien
Chazelle เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากหลายเสียงว่ารสชาติถึงพริก
ถึงขิง หนังจบแต่เสียงกลองยังคงสั่นระรัวในโสตประสาต
9. Under the Skin
ทำไมต้องดู : ยากจะบรรยายกับการได้ดูหนังเรื่องนี้
หนังพูดน้อยแต่ต่อยหนัก ในความว่างเปล่ากลับหนักอึ้ง แม้จะไม่เข้าใจ Message ที่หนังต้องการจะสื่อได้ 100 เปอร์เซ็นต์
แต่กับติดค้างอยู่ในใจ ให้ทบทวนตลอดเวลา
10. Saving Mr. Banks
ทำไมต้องดู : หนังขายการแสดง
สร้างจากเรื่องจริงผ่านการปรุงแต่งอันชาญลาดส่งผลให้หนังเรื่องนี้ดูสนุกอย่างเหลือเชื่อ
แม้จะติดกลิ่นการ์ตูนอยู่บ้าง
แต่ด้วยความที่หนังเน้นบันเทิงทำให้การหยิบหนังเรื่องนี้มาดูซ้ำเป็นเรื่องไม่ยากเย็น
11. Captain Phillips
ทำไมต้องดู : สร้างจากเรื่องจริง(อีกแล้ว)
โดยผู้กำกับจอมสั่น พอล กรีนกราส์ส
ตัวหนังทวีความตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆราวกับหนังรถไปเหาะตีลังกา
12. Big Hero 6
ทำไมต้องดู : นี่คือหนังที่มีอารมณ์ของ
ดิสนี่ย์ มาร์เวล และ จิบลิ เข้าด้วยกันอย่างลงตัวจนก่อให้เกิดกระฟีเวอร์
เบย์แม็กซ์ กันในหมู่คนดู และส่วนตัวชอบกว่า Frozen เยอะ
13. Fury
ทำไมต้องดู : หนังสงครามเรื่องนี้ไม่ได้ขับเน้นด้วยฉากแอ็คชั่น
สงครามหากแต่ดำเนินไปด้วยพลังของทีมนักแสดง และวิสัยทัศน์ของผู้กำกับ
ผ่านสัญลักษณ์ ภาษาหนัง จนได้ผลลัพธ์ที่น่าจดจำ
14. Dawn of the Planet of the Apes
ทำไมต้องดู : หนังภาคต่ออันทรงคุณค่าที่คุณภาพล้ำหน้าแฟรนไชส์หนังชุดนี้ทุกภาค
หนังอัดแน่นด้วยความลุ้นระทึก ดราม่า และตื้นตันใจ
ไม่บอกก็รู้ว่านี่คือหนัง(แมส)ดีๆ อีกเรื่องของปีอย่างแท้จริง
15. The Wolf of Wall Street
ทำไมต้องดู : ผลงานของผู้กำกับ
มาร์ติน สกอร์เซซี่ ที่มาพร้อมนักแสดงคู่บุญ ลีโอนาร์โด ดิคราปิโอ
พร้อมเรื่องจริงของบุคคลที่ฉาวโฉ่อีกคนบนโลกอย่าง จอร์แดน เบลฟอร์
ผลลัพธ์คือหนังที่ตีแผ่เบื้องหน้า เบื้องลึกได้อย่างถึงก้นบึ้ง
16. All is Lost
ทำไมต้องดู : อาจเป็นความทรมาณใจเล็กน้อยระหว่างที่ดูหนังปราศจากคำพูดเรื่องนี้
ต่างจากความรู้สึกตอนจบอย่างมาก ที่อยากจะบอกกับคนอื่นๆว่า นี่ล่ะคือ ชีวิต
(หนังมีความคล้ายคลึงกับ Gravity อยู่บ้างเพียงแต่สภาพแวดล้อมที่ต่างกัน)
17. Enemy
ทำไมต้องดู : การเล่าเรื่องขอหนังเรื่องี้เต็มไปด้วยปริศนาและสัญลักษณ์
ก่อนจะปิดม่านลงด้วย ฉากที่น่าตื่นตายิ่งกว่า ฉากหุ่นยนตร์ตะลุมบอนกัน
ใครที่ดูหนังเรื่องนี้แล้วไม่ก่นด่าก็ต้องชื่นชม ล่ะว่ะ
18. The Grand Budapest Hotel
ทำไมต้องดู : เวส แอนเดอร์สัน
เป็นผู้กำกับที่มีแนวทางชัดเจนมากๆ จนมีแฟนบอยตามติดมากมาย และหนึ่งในนั้นคือผม
นับจนถึงขณะนี้ยังไม่เคยรูจักคำว่า ผิดหวัง
19. Captain America: The Winter Soldier
ทำไมต้องดู : หากเปลี่ยนชื่อหนัง
ตัดคำว่า กัปตันอเมริกา ออกไป นี่คือหนังสายลับชั้นเยี่ยม
ที่เล่นกับความรู้สึกคนดูได้อย่างแยบยล
20. Dallas Buyer Club
ทำไมต้องดู : ยอมรับว่าครึ่งหลังหนังดูดรอปลง
แต่การแสดงของสองนักแสดงนำที่คว้าออสการ์ไปด้วยกันทั้งคู่ แมทธิว
แมคคอนนาเฮย์ในบทนำชาย และ จาเร็ด เลโต้ ในบทสมทบชาย
ช่วยโอบอุ้มหนังเรื่องนี้ได้อย่างน่าชื่นชม
21. X-Men : Days of Future Past
ทำไมต้องดู : เป็นการกลับมาหลังจาก First Class ที่ยิ่งใหญ่
และสนุก ไม่เสียรสชาติความเป็นเอ็กซ์เม็น เป็นการสานต่อเรื่องราวที่น่าจดจำ
22. Edge of Tomorrow
ทำไมต้องดู : เพราะนี่เป็นหนังแอ็คชั่นที่มีฉากแอ็คชั่น และเนื้อเรื่องที่เข้มข้น
ทั้งยังเป็นการกลับมาของผู้กำกับ Doug Liman ที่น่าจดจำ
23. The Rover
ทำไมต้องดู : การแสดงที่น่าจดจำของสองนักแสดงนำ Guy Pearce และ Robert Pattinson ซึ่งจะไม่หลงเหลือคราบของนักแสดงหนุ่มสุดหล่ออีกต่อไป
ด้วยรูปแบบการนำเสนอที่พูดน้อยแต่ต่อยหนัก
มาในบรรยากาศที่แสนรกร้างของทะเลทรายแสนร้อนและกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
สถานการณ์ที่ลุ้นระทึก บีบบังคับ
จัดว่าเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งของปีที่ไม่อยากให้พลาด
24. How to Train Your Dragon 2
ทำไมต้องดู :
หนังภาคต่อที่ไม่เพียงแต่ทำเงินแต่ล่าสุดยังคว้ากล่องจากลูกโลกทองคำไปนอนกอดในสาขาอะนิเมชั่นยอดเยี่ยมแห่งปี
ด้วยตัวเนื้อหาที่เติบโตขึ้นและประเด็นอันละเอียดอ่อนของคำว่า หน้าที่ อันมาพร้อม
ครอบครัว และคนที่ต้องดูแล
ส่งให้หนังเรื่อนี้เอาชนะใจกรรมการและนักวิจารณ์ได้ไม่ยาก
25. The Hobbit: The battle
of the Five Armies
ทำไมต้องดู : เนื้อหาอาจดูพร่องๆไป แต่ถูกแทนที่ด้วยฉากแอ็คชั่นสุดแสนอลังการงานสร้างที่ชวนให้ตะลึงงัน
เป็นการอพลาโลกมิดเดิ้ลเอิร์ธที่น่าจดจำ
26. 12 Years a Slave
ทำไมต้องดู :
เจ้าของออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปีที่แล้ว กับประเด็นเรื่องการค้าทาส
การแบ่งแยกสีผิว ที่ดูจริง ทำให้หลายคนที่ได้ดูรู้สึกหดหู่ไปตามๆกัน
27. Guardians of the Galaxy
ทำไมต้องดู : เป็นตัวอย่างของหนังฮีโร่ที่ดี
มีเสน่ห์น่าจดจำ ท่ามกลางหนังฮีโร่นับสิบเรื่องที่ผุดขึ้นมายิ่งเสียกว่าดอกเห็ด Guardians of the Galaxy สอบผ่านด้านความบันเทิงได้อย่างขาดลอย
28. The Maze Runner
ทำไมต้องดู : กลายเป็นภาคต่ออันทรงคุณค่าอีกเรื่องหนึ่งของฮอลลีวู้ดไปแล้ว
สำหรับ The Maze Runner
แม้หลายคนจะบ่นถึงความไม่สมบูรณ์ในตัวหนังอยู่บ้าง
แต่โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกชอบและลุ้นไปกับการผจญภัยของตัวละครจนอดที่จะเอ่ยปากชมไม่ได้
29. The Hunger Games: Mockingjay - Part
1
ทำไมต้องดู : หนังอาจดูเนิบนาบไปบ้าง
แต่เนื้อในของหนังยังคงสร้างแรงสะเทือนได้อย่างน่าสนใจ แม้จะตอบโจทย์ความบันเทิงไม่ได้มากนัก
30. Interstellar
ทำไมต้องดู : เป็นหนังของ
โนแลน ที่คุณภาพก่ำกึ้ง และส่วนตัวก็ไม่ได้รู้สึก หลงรัก แต่อย่างใด
ที่ต้องเอ่ยปากชมคงเป็นเรื่องของเนื้อหา ที่ค่อนข้างแน่น และงานด้านภาพที่ดูดี
ก็ส่งผลให้กลายเป็นความชื่นชอบในระดับกลายๆได้เช่นกัน