วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

After Earth : ลูกคือความหวังของพ่อ !?

  After Earth : ลูกคือความหวังของพ่อ !? 



เพราะยังมีศรัทธาในตัวผู้กำกับ M. Night Shyamalan ผมเลยค่อนข้างเอาใจช่วยมากกว่าคาดหวังว่าจะได้เห็นผลงานที่ยอดเยี่ยม ก็ไม่มากนะขอแค่ให้ไม่ใช่ผลงานที่ขุดหลุมฝังตัวเอง แต่จนแล้วจนรอด มันก็ยังคงเป็นได้แค่หนังที่ "งั้นๆ" 

พิจารณาจากวัตถุดิบ นี่คือของชั้นเยี่ยม นักแสดงซูเปอร์สตาร์ผิวสีแม่เหล็กอย่าง วิลล์ สมิธ พ่วงด้วยลูกชาย จาเดน สมิธ ที่ดูดีขึ้นมาก โดยส่วนัวปลื้มจาเดน แต่ไหนแต่ไรแล้ว ย้อนไปที่พ่อลูกคู่นี้ร่วมงานกันใน ขขขขขขข เท่านั้นยังไม่พอ หนังยังได้เงินทุนมา ต้องเรียกได้ว่า มากโข ถือเป็นหนังยักษ์ อีกเรื่องของปีนี้ ที่สำคัญคือ plot หนังที่่เอี่ยวกับสภาวะของโลกที่ผันผวนด้วยแล้ว ยิ่งเข้ากับยุคสมัย แต่จนแล้วจนรอดหนังก็ทำได้แค่ "งั้นๆ" 


มันไม่ถูกต้องนักหากจะมองว่า หนังเรื่องนี้มัน ยอดแย่ เพราะอย่างน้อยๆที่สุดมันก็พอจะมีสสาร พลังงานให้จับต้องได้ พูดอีกอย่างคือไม่ว่างเปล่า อาจเป็นเพราะปีนี้ผมเจอที่ผิดหวังมากๆมาแล้วกับ The Host เรื่องหลังนี่ไม่รู้จะพูดยังไง ตั้งแต่ต้นจนจบผมยังไม่รู้เลยว่าตกลงอะไรยังไง ไปๆมาๆ กลับรู้สึกว่า ทไวไลท์ ยังดูดีกว่าเสียอีก After Earth เดิมที หนังมีเนื้อหาคร่าวๆแค่เรื่องราวของสองพ่อลูกที่ต้องเอาชีวิตรอดจากอุบัติเหตุอะไรสักอย่าง ผมเคยอ่านเจอมาคร่าวๆ ก่อนจะถูกพัฒนาให้เป็นเรื่องราวถึงโลกอนาคตที่ดาวโลกถูกทอดทิ้ง และกลายเป็นดาวที่เต็มไปด้วยอันตรายนานาชนิด แล้วสองพ่อลูกผู้โชคร้ายก็บังเอิญต้องมาใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ ภารกิจเอาชีวิตรอดจึงเริ่มขึ้น โดยหนังได้เพิ่มความน่าสนใจลงไปด้วยการเป็นหน่วยปฏิบัติภารกิจอะไรสักอย่างที่เรียกตัวเองว่า เรนเจอร์ มันนับว่าดูดีและมาถูกที่ถูกทางแล้วนะ คือถ้าอ่านเรื่องย่อ บวกดู trailer ด้วยแล้วนี่ โคตรอยากดูอ่ะ มะนเกิดขึ้นกับผมทุกครั้ง ย้ำว่าทุกครั้งที่แรกได้ยลโฉมผลงานของผู้กำกับรายนี้ ส่วนความรู้สึกหลังชมนั้นก็เป็นอีกเรื่อง 


ความผิดพลาดของหนังเรื่องนี้คือ หนังใส่มาเยอะแต่ดันเล่าไม่หมด แถมยังใช้ศักยภาพของนักแสดงไม่เต็มที่ ก็นะแหม พี่วิลล์ สมิธ นั่งแทงขาตัวเองเล่นเกือบทั้งเรื่อง ส่วนจาเดน นั้นเรียกได้ว่า งานนี้ ป๋าดันเต็มที่แต่การดันในที่นี้ กลับมาแบบ หน้าเดียว คือหนังเหมือนจะเป็น coming of age ของตัวละครพ่อลูก แต่จากต้นจนท้ายกก็ยังไม่แน่ใจนักว่า เหตุการณ์ในหนังได้เปลี่ยนแปลงทั้งคู่ไปแล้ว หลายๆเหตุการณ์ที่น่าสนใจมันถูกทิ้งไว้ ทั้งๆที่มันสามารถหยิบมาเล่าได้อย่างสนุก อย่าง เรนเจอร์ มันสามารถเล่าลงไปได้ลึกถึงที่มา ที่ไป หรือ ปมขัดแย้งของพ่อ ลูก ที่เหมือนจะเป็นตัวขับเคลื่อนก็ยังดูไม่พีคเท่าที่ควร สภาพความเป็นอยู่บนดาวดวงใหม่ที่มนุษย์ไปอยู่ก็ไม่ถูกพูดถึง ครั้นยานตกมาถึงโลกก็ยังไม่มีเหตุการณ์ที่ร้ายแรง จนทำให้เราสามารถเชื่อได้ว่า มันอันตรายจนเป็นดาวต้องห้าม เพราะเท่าที่เห็นก็มีแต่สัตว์ร้าย กับเอ่อ สภาพอากาศที่แปรปรวน รวมทั้ง อืมมมม ก๊าซออกซิเจน ด้วยมั้ง สรุปก็คือหนังไปไม่สุดสักทาง แต่มันก็ไม่ได้แย่เหมือนคราว สี่ธาตุ นะ เรื่องนั้นน่ะ ผมเอียนจริงๆ หนังยืด ย้วย มาก เรื่องนั้นคงเป็นบทเรียนทำให้ After Earth เลยมีเวลาเพียงแค่ ชั่วโมงครึ่ง เห็นไหมล่ะ ยังมีเวลาอีกตั้งมาก ตั้งหลายอย่างที่สามารถเล่าได้ ทำไปเลย สามชั่วโมง ถ้าคุณแน่จริง คิดว่าคุณมีของเล่น มีเรื่องเล่าที่ดีจริงๆ ฉะนั้นแล้วหนังเรื่องนี้เลยทำไปได้แค่ "งั้น" หรือหากจะให้เหตุผลว่าส่วนที่ขาดหายไปนั้น อยู่ในนิยายสองเล่มที่คลอดออกมา





หากจะพูดถึงตัวผู้กำกับ M.Night แล้ว ผลงานที่ผมประทับใจก็มี The Six Sense, Unbroken แล้วก็ Sign ส่วนที่เหลือก็อยู่ในขั้นเฉยๆจนถึง "ไม่ไหวจะเคลียร์" ณ จุดๆนี้ ไม่ใช่การด่าว่า แต่จะขอเป็นกำลังใจให้กับ M.Night ได้กลับมาอยู่แถวหน้าผู้กำกับฝีมือดีแทนล่ะกัน เนอะ 

#ชอบ Jaden Smith มากอ่ะ ถึงเรื่องนี้จะไม่ได้โชว์ความสามรถอะไรมากมาย แต่ก็ยังเชื่อลึกๆว่า เขาจะต้องตามรอยผู้เป็นพ่ออย่าง Will Smith ได้แน่นอน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น