วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

The Way Way Back :ซัมเมอร์นั้น ตอนฉันอายุ 14

The Way Way Back :ซัมเมอร์นั้น ตอนฉันอายุ 14

โอ๊ยๆๆๆๆๆ  ชอบหนังเรื่องนี้เป็นบ้า หนังแบบนี้แหละที่ตรงรสนิยมผมมาก ทุกอย่างเลย ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนยังไงดี !!! คือมันใช่  เป็นหนังของปี  2013 ที่ผมชอบที่สุด ณ เวลานี้เลยล่ะ




ดูจากเครดิตทีมงานแล้ว ผมก็วางใจแล้วล่ะ เค้าจั่วหัวโดยขายชื่อ Juno และ Little Miss Sunshine เอาไว้ว่ามาจากสตูดิโอเดียวกัน แต่พอได้ดูจริงๆมันเกินกว่าที่ผมคาดไว้ไกลมาก อย่างที่เคยเป็นมา ผมจะชอบหนังสไตล์กลิ่นอินดี้ คอมเมดี้ ฟิลกู้ด เป็นทุนเดิมอย่าง (500) Days of Summer, Up in the Air, Beginners, Nick and Norah's Infinite Playlist, Adventureland อะไรแบบนี้อยู่แล้ว อย่างต้นปีก็ได้มีโอกาสดู Ruby Spark กับ Smashed ซึ่งก็ชอบมากเหมือนกัน แต่ขอให้คะแนนความชอบ The Way Way Back มากกว่าหน่อย เพราะหนังมันเข้าถึงคนดูได้ง่ายกว่า ตามคอนเซ็ปส์หนังดี ที่มาพร้อมเพลงประกอบเพราะๆอีกเพียบ ไว้วันหลังจะลอง search หารายชื่อเพลงโหลดเก็บไว้ใน ipod มันดีถึงเพียงนั้นจริงๆ



หนังเล่าเรื่องของเด็กหนุ่มวัย 14 ชื่อ Duncan ซึ่งแสดงโดย Liam James (คุ้นหน้าคุ้นตากันไหม ก็น้องหนูที่กะเตงไปกับครอบครัวในวันสิ้นโลก หนังเรื่อง 2012 ไง เขาโตแล้วนะ แสดงได้ดีทีเดียว ดูเนิร์ดๆน่ารักไม่เบา) ที่ต้องไปพักร้อนกับแม่ (Toni Collette ได้บททนี้ เจ้แกไม่ค่อยคุ้นหน้าผมเท่าไหร่ แต่ก็พอคุ้นๆอยู่บ้าง )รวมทั้งแฟนใหม่และลูกติดแฟนใหม่ของแม่อีกที (ในที่นี้รับบทโดย Steve Carell แหม พี่แกทำให้เราไม่ชอบขี้หน้าตัวละครตัวนี้เอาซะเลย) ในสายตาคนในครอบครัวแล้ว เค้าเป็นเด็กประหลาดที่ไม่มีอะไรดีเลยในชีวิต พอมาถึงที่หมาย เค้าได้พบกับเพื่อนบ้านเด็กสาวรุ่นเดียวกัน เขาใช้เวลาไปในสวนสนุกน้ำ กับเพื่อนใหม่ หนุ่มบ้าๆบอๆ เจ้าของสวนน้ำ (Sam Rockwell  พี่ทำให้ตัวละครตัวนี้ ดูมีเสน่ห์มากๆ นี่ล่ะนะ ที่เขาว่าเยี่ยม)ซึ่งทำให้เขาได้ค้นพบบางอย่างในตัวเอง ถึงเวลาที่เขาต้องเติบโต และทำให้คนอื่นได้เห็นว่า เขาก็มีดี




เป็นหนังแนว coming of age ที่มีเสน่ห์มากเหลือหลาย ใครที่รู้ตัวว่า ชอบหนังทำนองนี้แล้วล่ะก็ ไม่มีทางที่คุณจะผิดหวังแน่ๆ ยิ่งได้ดูในช่วงวันสบายๆด้วยแล้ว มันทำให้มีความสุขมากๆ จากวันที่แสนน่าเบื่อได้หนังดีๆสักเรื่อง มันช่วยให้เป็นวันที่แสนพิเศษได้เหมือนกันนะ  รับ The Way Way Back ไว้ในดวงใจอีกสักเรื่องสิ !


วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Album 3rd >Infinite Playlist > แนะนำเพลงเพราะๆจากหนังที่คุณรัก



ได้ฤกษ์คลอดอัลบั้มที่ 3 สักที(ฮา) ครั้งนี้เพลงส่วนใหญ่ได้รวบรวมมาจากหนังแอ็คชั่น เทร็คทั้งหลายอาจไม่เหมาะที่จะรับฟังในวันที่มีอาการเลซี่ แต่เหมาะที่จะเอาไว้ปลุกตัวเองในยามที่อ่อนไหว เรียกกำลังใจในวันที่ท้อแท้ เพราะถึงยังไงวิธีรีแล็กซ์ที่ดีที่สุด วิธีหนึ่งง่ายๆก็คือการนั่งฟังเพลง ถ้าสนุกก็โยกซะหน่อย!!!





1. Danny Elfman - The Little Things Ost. Wanted


Wanted ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าหนังเรื่องนี้ มันส์หยดติ๋งๆ เป็นหนังแอ็คชั่นไม่กี่เรื่องที่ดูมีเสน่ห์ แม้จบไปแล้วระดับอะดรีนาลีนยังคงหลงเหลืออยู่ นอกจากนั้นแล้วยังมีแทร็คประกอบอย่าง little things ที่ฟังแล้วดนตรีมันติดโสตประสาทดี เลยขอนำมาเป็นแทร็คแรกในอัลบั้มนี้



2. Soundgarden - Live to Rise Ost. Marvel's The Avengers

Live to rise เป็นเพลงร็อคหนักๆ ที่ฟังยามวิกาลคงไม่เหมาะนัก แต่ผมชอบเนื้อหาความหมายบวกกับดนตรีที่กระแทกกระทั้นของมันนะ ฟังๆไปเผลอโยกไปกับความเมทัลของมันซะงั้น เพลงนี้ใช้ประกอบหนังรวมพลฮีโร่ใน The Avengers อีกด้วยล่ะ เจ๋งไปเลย!



3. Take That - Love Love Ost. X-Men First Class

ลองเสียเวลาสักไม่กี่นาทีหลังหนังจบ นั่งดูเครดิตทีมงาน นักแสดงหนังเรื่องนั้นๆ อาจพบกับสิ่งดีๆ ถ้าพนักงานในโรงหนังไม่เปิดไฟไล่ หรือบริการแย่ๆ สิ่งดีๆมันเกิดขึ้นกับผมค่อนข้างบ่อย ครั้งนั้นผมตกหลุมรักหนังเรื่อง x-men first class มาก หนังจบผมยังไม่จบ ผมนั่งดูเครดิตของหนังเรื่องนี้ ด้วยความรู้ทางภาษาปะกิตเล็กๆน้อยๆ ซึ่งหวังจะอ่านตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่บนจอ แต่แล้วสิ่งที่ได้รับคือเพลงนี้ ถูกใจผมมากเลยล่ะ




4. Muse - Follow Me Ost. World War Z

ไม่ว่าคุณจะรู้สึกยังไงกับหนังซอมบี้ดิสนีย์ (ฮา)world war Z แต่ก็ต้องยอมรับว่าหนังมันเพลินใช้ได้เลยล่ะ ล่าสุดเตรียมจะคลอดภาคต่อออกมาแล้ว ไม่นานมานี้ช่วงก่อนที่หนังจะลงแผ่นวางขาย ผมได้รับอีเมล์ฉบับหนึ่งเนื้อหาเกี่ยวกับโฆษณาหนังเรื่องนี้แหละ พร้อมทั้งยังได้แนะนำเพลง follow me มาด้วย ลองคลิกไปฟังดู เออแหะ! มันแนวใช้ได้เลยนี่



5.Snow White and the Huntsman - Florence + The Machine: "Breath of Life" 

Snow White and the Huntsman ส่วนตัวแล้วชอบหนังเรื่องนี้นะ แม้ว่าดีเทลของหนังจะขาดหายไปอย่างไม่น่าให้อภัย แต่ก็เอาเถอะ ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะดูอะไรแบบ The Lord of the ring อยู่แล้ว แค่ได้เห็นนักแสดงทั้งสามที่ชื่นชอบร่วมเฟรมเดียวกันก็พอใจ แต่ที่ชอบยิ่งกว่าตัวหนังคือเพลง breath of life นี้ ที่เผลอๆอาจส่งอารมณ์ได้ดีกว่าหนังทั้งเรื่องเสียอีก



6.Coldplay - Paradise Ost. Life of Pi
Coldplay เป็นศิลปินอีกกลุ่มหนึ่งที่เพลงของเค้ามี signature ในตัวสูง ผมฟังเพลงนี้แล้วชอบมันมากพอที่จะฟังครั้งละหลายๆรอบ ก่อนที่มันจะถูกนำมาใช้ในหนังเรื่อง life of pi ที่ส่งให้ผู้กำกับ อัง ลี คว้าออสการ์ตัวที่สองมานอนกอดได้อีกครั้ง ดูจากคุณภาพหนังแล้วก็ไม่น่าสงสัยแต่อย่างใด มาลองฟังเพลง Paradise กันอีกครั้ง เพลงที่เข้ากับหนังราวกับว่าเกิดมาเพื่อคู่กัน



7. Coldplay - Atlas Ost. Hunger Games: Catching Fire

Coldplay อีกสักเพลงกับ Atlas ซึ่งเป็นเพลงประกอบหนัง the hunger games :catching fire ผมชอบหนังชุดนี้ จบจาก'แฮรร์รี่ พอตเตอร์มา ก็เห็นจะมีแต่เรื่องนี้ล่ะมั้งที่พอจะคาดหวังได้ และผมยังได้เจียดเงินในกระเป๋า(แฟบๆ)ไปซื้อนิยายชุดนี้มาอ่าน ต้องขอบอกว่า ตัวนิยายเพียวๆมันก็มีความน้ำเน่าอยู่นะในพาร์ทความรัก การดัดแปลงบทในภาคแรกทำได้ดีกว่าตัวเล่มนิยายมากส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะวิสัยทัศน์ดีๆของผู้กำกับ แกรี่ รอส หวังว่าการเปลี่ยนมือผู้กำกับในภาคสองจะดีขึ้นหรือเสมอตัว เพราะพูดถึงเนื้อหานิยายแล้วภาคสองนี้ดููมีอะไรให้เล่นอีกเยอะมาก ดูจากเครดิตผู้กำกับรายใหม่แล้วก็ใช้ได้ทีเดียว เพลงประกอบในภาคแรกใช้เสียงเพราะๆของ Taylor Swift ไปกับเพลง safe and sound ที่ได้เข้าไปเปิดเล่นๆในออสการ์กับสาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยม สำหรับ Atlas นั้นต้องรอดูต่อไป แต่เพลง Atlas ก็ดูดีเลยนะ





8.The Mamas & The Papas: California Dreamin' Ost.Chungking Express and the hills have eyes

California Dreamin'เป็นเพลงที่หนังหลายเรื่องยืมไปใช้ ที่พอจะนึกออกก็มี Chungking Express 

ของผู้กำกับชาวไต้หวันนามว่า หว่อง คา ไหว และในเรื่อง the hills have eyes ใน trailer อีกที

เพลงนี้ผมว่ามันให้อารมณ์ที่แตกต่างกันนะ จากหนังทั้งสองเรื่อง เรื่องแรกมันให้ความรู้สึกถึงความฝัน

ที่ดูสวยงามแต่เรื่องหลังกลับให้ความรู้สึกตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง




9. Imagine Dragons - Radioactive Ost. The Host
Imagine Dragon ศิลปินที่น่าจับตามอง ผมค่อนข้างชอบรสนิยมในเพลงของพวกเค้า รวมถึงเพลง Radioactive นี้ อันที่จริงผมตาม follow ศิลปินกลุ่มนี้มานานมากแล้วล่ะ ซึ่งต่อมา the host ได้นำเพลงนี้ไปประกอบหนัง ซึ่งมันดึงความสนใจได้ดีเลยล่ะ แต่จะดีกว่านี้นะ...ถ้าไม่ดูหนังเรื่องนี้ (เอ๊ะ! ยังไง?)



10.Band of Horses - The funeral 127 hours soundtrack

127 Hours อีกหนึ่งผลงานระดับ masterpiece ของผู้กำกับ Danny Boyle กับเรื่องราวการเอาชนะโชคชะตาของหนุ่มหัวรั้นที่ได้พบบทเรียนราคาแพง มั่นใจว่าหนังเรื่องนี้จะมอบบางอย่างให้กับคนที่ได้ดูแน่นอน ลืมไม่ลง อีกหนึ่งความประทับใจคือเพลงประกอบที่ชื่อว่า งานศพ (funeral) อุ๊ต๊ะ!


Love Syndrome :หัวใจฉันก็ลอยลิบไป

Love Syndrome :หัวใจฉันก็ลอยลิบไป



"ผมยอมตายเพื่อรักษาหนังไทย" เป็นคำกล่าวของคุณโดม สุขวงศ์ ถ้าเป็นเมื่อห้าปีก่อนผมคงไม่ค่อยเช้าใจและเห็นด้วยมากนัก เพราะผมเคยเป็นพวกคลั่งหนังฝรั่งไม่แลหนังไทยกล่าวง่ายๆก็ประมาณว่า วัวลืมตีน มันเป็นพฤติกรรมที่แย่เอามาก แต่ไม่ใช่ไม่ดูนะแค่เลือกดูอย่างหนังของ GTH และ M39 เท่านั้น หรือไม่ก็ดูชื่อผู้กำกับเป็นหลักอย่างคุณเป็นเอก คุณมะเดี่ยว ที่จะยอมเสียเงินไปดู หรือซื้อแผ่นมาเก็บไว้เชยชม อันที่จริงจะโทษตัวผมในวันนั้นก็ใช่ที่ เพราะหนังไทยแต่ละเรื่องที่มีออกมาให้เห็นนั้น มันไม่เอาไหนซะเลย คงไม่ต้องให้ยกชื่อหนังมาบอก 


พักหลังๆผมเริ่มเปิดใจมากขึ้น หนังเรื่องไหนที่ดูแล้วมันมีกิมมิค ผมก็จะยอมเข้าไปดู เหมือนเรื่องนี้ Love Syndrome ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยคุณพันธุ์ธัมม์ ทองสังข์ซึ่งเคยฝากฝีไม้ลายมือไว้กับ ไอ้ฟัก, มะหมาสี่ขาครับทั้งสองภาค ขอสารภาพว่าผมเคยดูแค่มะมหา สี่ขาครับ ภาคแรกเท่านั้น สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าเป็นสไตล์อีกอย่างหนึ่งของคุณพันธุ์ธัมม์ ทองสังข์ ก็คือ แกเป็นคนง่ายๆที่ละเอียด แกสามารถเล่าเรื่องเล็กๆน้อยๆให้ออกมามีเสน่ห์ได้ รวมถึงพรสวรรค์ในการเล่าเรื่องแบบไม่รู้สึกว่ามันติดขัด นับว่าเป็นข้อดี 


Love Syndrome คงถูกจัดไว้ในหมวดหมู่ Love Actually หนังรักหลากคู่ ตามรอยรุ่นพี่อย่าง ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น, ฝัน หวาน อาย จูบ พวกสวีทตี้ หรือแม้แต่ รักเจ็ดปี Love Syndrome อาจไม่ใช่หนังรักเกรด A จะว่าไปแล้วมันไม่ใช่อะไรแบบ GTH เลยด้วยซ้ำ มันเป็นหนังไทยอีกรสชาติหนึ่งเลยนะ ผมไม่ค่อยได้เห็นหนังไทยแอนตี้ตัวเองแบบนี้เท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเห็นในหนังฝรั่ง และที่สำคัญคือ Love Syndrome ทำได้ถึงจุดๆหนึ่งเลยด้วยซ้ำ หนังเปิดเรื่องโดยทำให้เรารู้เลยว่า นี่มันไม่ธรรมดา ผ่านการแอนตี้ เรื่องราวความรัก น้ำเน่า ทำให้คนดูคาดหวังที่จะได้เห็นอะไรไปอีกขั้น นั้นคือเราคาดหวังไว้ว่ามันจะไม่น้ำเน่าแน่ๆ และตอนจบหนังก็ได้ตอบโจทย์ของมันได้อย่างลงตัวทีเดียว ไม่ได้ตลก ไม่ได้เศร้า ไม่ได้สนุก ไม่ได้ทำให้ร้องไห้ขี้มูกโป่งแต่มันทำให้เราอิน ความรู้สึกคล้ายๆที่ว่าเราได้แอบอ่านไดอารี่ของคนรอบข้างเรา ไม่ว่าจะเป็นของน้องชายตัวแสบ พี่ชายตัววุ่น พี่สาวตัวร้าย หรือเพื่อนร่วมงาน ในไดอารี่ของพวกเขาเต็มไปด้วยเรื่องราวที่เป็นความลับ เรื่องราวที่ไม่น่าจะมีใครรู้ เรื่องราวที่เราอาจจะมองว่า ทำไปได้ไง เรื่องโง่ๆแบบนั้น โดยอาจลืมไปว่า จริงๆแล้ว เราอาจทำตัวโง่ๆมากกว่าพวกเขาเหล่านั้นซะอีกในยามที่มีความรัก 


ท้ายสุดแล้วหนังอาจไม่ทำเงิน แม้ว่ากระแสปากต่อปากจะมีมากขึ้นก็ตาม อาจเป็นเพราะหนังไทยปีนี้โดนอิทธิฤทธิ์ของพี่มาก จนทำให้เดี้ยงไปหลายเรื่อง โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าปีนี้มีหนังไทยดีๆที่อยากแนะนำให้ดูหลายเรื่อง เลยขอแปะชื่อเอาไว้ตรงนี้ พี่มาก พระโขนง, คู่กรรม ,เกรียนฟิคชั่น ,สารวัตรหมาบ้า และล่าสุด Love Syndrome รักโง่ๆหนังเล็กๆเรื่องนี้ครับ




The Conjuring : ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องผี มาปรึกษากับเราสิ

Conjuring : ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องผี มาปรึกษากับเราสิ 


Conjuring สำหรับผมแล้วมีสถานะเป็นหนังผีมะกันที่ดีที่สุด ในรอบหลายปีมานี้ เดิมทีผมไม่ได้คาดหวังใดๆจากหนังเรื่องนี้เพราะความ fail ที่เกิดขึ้นจาก insidious ยังคงตามติดจนถึงทุกวันนี้ ขอย้อนไปเล่าเกี่ยวกับ Insidious คือหนังแบ่งออกเป็นสองพาร์ทอย่างชัดเจนคือช่วงครึ่งแรกหนังน่ากลัวมาก ย้ำว่ามาก ทั้งบรรยากาศ อารมณ์ ทุกอย่างมันให้มาก แต่พอหลังจากเข้าไปในมิติของผีแล้ว ไหง มันกลายเป็นหนังแฟนตาซีไปซะงั้น ผมไม่มีอคติกับความแฟนตาซีนะเพราะอย่าง Poltergeist ก็เป็นหนังผีที่แฟนตาซี ผมยัง(โค ต ร)ชอบเลย แต่ที่ไม่ชอบใน Insidious คือมันขัดกันอย่างแรง มันไปด้วยกันไม่ได้ มันไม่ได้เนียนเหมือนที่เป็นกับ Hugo เพราะเรื่อง Hugo ก็สองเรื่องในหนังเรื่องเดียวกันนะ 



Conjuring เริ่มแรกเดิมที เป็นแค่หนังผีฝรั่งอีกเรื่องของปี ในสายตาผม พอได้ดูแล้ว ถึงได้รู้ว่าตัวเอง คิดผิดไปแล้ว ใครที่คิดเหมือนผมคือชอบครึ่งแรกของ Insidious นี่ล่ะคือสิ่งที่ใช่ หนังมาเน้นๆเลย คือบรรยากาศ จังหวะ จะโคน รวมถึงลูกเล่นที่ทำเอาผม ร้องว้าว ในช่วงไล่ผีตอนท้าย ที่ตัดสลับเหตุการณ์ของตัวละครในบ้าน มันเก๋ไก๋ ดูฉลาดมาก เนื้อหาของหนังอาจไม่ใหม่มาก(อย่าได้หวังว่าจะได้เห็นอะไรในแบบ The Other) เพราะมันก็เป็นอะไรที่พื้นฐานอยู่แล้ว กับการย้ายไปในบ้านใหม่เจอ นู่น นี่นั่น แต่ที่ต้องให้ความสนใจคือหนังแปะตัวอักษรไว้ในช่วงต้นเรื่องว่า base on true story แถบบุคคลในเรื่องยังคงมีตัวตนอยู่จริง ตราบจนทุกวันนี้ ใครอยากรู้ Google ช่วยคุณได้ นอกจากครอบครัวที่ต้องพบเจอกับเรื่องเลวร้ายแล้วคือ ตัวเอกของเรื่องคือ สองสามี ภรรยา ที่คอยช่วยเหลือไล่ผีให้กับผู้คนที่เดือดร้อน ไล่ไปไล่มา ท้ายสุดก็อาจถูกเล่นงานได้เองเหมือนกันนะเออ 


อีกสิ่งที่ชอบคือหนังไม่ ตุ้งแช่! หนังมาในแบบที่ไม่เหนือจริงมาก คืออยู่ในเกณฑ์ ที่ทำให้เราเชื่อว่า มันอาจเกิดขึ้น กับใครก็ได้ อาจเป็นเพราะต้องยึดอยู่บนพื้นฐานที่ว่าสร้างจากเหตุการณ์จริง ที่สำคัญคือตลอดความยาวเกือบสองชั่วโมงไม่มีช่วงไหนที่รู้สึกว่าหนืด หนังเล่าเรื่องได้ลื่นไหลมาก มุกหลอกผีในหนังเรื่องนี้ อยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่า ทำงานได้อย่างดีเยี่ยม มีเสน่ห์มาก ทั้งยังทำให้ผมหวนกลับไปนึกถึงหนังเรื่อง The Exorcist ภาคแรก มันดูดีขนาดนั้นเลยล่ะ 


หากจะมีหนังสักเรื่องที่สมควรดูในปีนี้ เชื่อว่า Conjuring คือหนึ่งในนั้น ที่ต้องถูกพูดถึงอย่างแน่นอน


After Earth : ลูกคือความหวังของพ่อ !?

  After Earth : ลูกคือความหวังของพ่อ !? 



เพราะยังมีศรัทธาในตัวผู้กำกับ M. Night Shyamalan ผมเลยค่อนข้างเอาใจช่วยมากกว่าคาดหวังว่าจะได้เห็นผลงานที่ยอดเยี่ยม ก็ไม่มากนะขอแค่ให้ไม่ใช่ผลงานที่ขุดหลุมฝังตัวเอง แต่จนแล้วจนรอด มันก็ยังคงเป็นได้แค่หนังที่ "งั้นๆ" 

พิจารณาจากวัตถุดิบ นี่คือของชั้นเยี่ยม นักแสดงซูเปอร์สตาร์ผิวสีแม่เหล็กอย่าง วิลล์ สมิธ พ่วงด้วยลูกชาย จาเดน สมิธ ที่ดูดีขึ้นมาก โดยส่วนัวปลื้มจาเดน แต่ไหนแต่ไรแล้ว ย้อนไปที่พ่อลูกคู่นี้ร่วมงานกันใน ขขขขขขข เท่านั้นยังไม่พอ หนังยังได้เงินทุนมา ต้องเรียกได้ว่า มากโข ถือเป็นหนังยักษ์ อีกเรื่องของปีนี้ ที่สำคัญคือ plot หนังที่่เอี่ยวกับสภาวะของโลกที่ผันผวนด้วยแล้ว ยิ่งเข้ากับยุคสมัย แต่จนแล้วจนรอดหนังก็ทำได้แค่ "งั้นๆ" 


มันไม่ถูกต้องนักหากจะมองว่า หนังเรื่องนี้มัน ยอดแย่ เพราะอย่างน้อยๆที่สุดมันก็พอจะมีสสาร พลังงานให้จับต้องได้ พูดอีกอย่างคือไม่ว่างเปล่า อาจเป็นเพราะปีนี้ผมเจอที่ผิดหวังมากๆมาแล้วกับ The Host เรื่องหลังนี่ไม่รู้จะพูดยังไง ตั้งแต่ต้นจนจบผมยังไม่รู้เลยว่าตกลงอะไรยังไง ไปๆมาๆ กลับรู้สึกว่า ทไวไลท์ ยังดูดีกว่าเสียอีก After Earth เดิมที หนังมีเนื้อหาคร่าวๆแค่เรื่องราวของสองพ่อลูกที่ต้องเอาชีวิตรอดจากอุบัติเหตุอะไรสักอย่าง ผมเคยอ่านเจอมาคร่าวๆ ก่อนจะถูกพัฒนาให้เป็นเรื่องราวถึงโลกอนาคตที่ดาวโลกถูกทอดทิ้ง และกลายเป็นดาวที่เต็มไปด้วยอันตรายนานาชนิด แล้วสองพ่อลูกผู้โชคร้ายก็บังเอิญต้องมาใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ ภารกิจเอาชีวิตรอดจึงเริ่มขึ้น โดยหนังได้เพิ่มความน่าสนใจลงไปด้วยการเป็นหน่วยปฏิบัติภารกิจอะไรสักอย่างที่เรียกตัวเองว่า เรนเจอร์ มันนับว่าดูดีและมาถูกที่ถูกทางแล้วนะ คือถ้าอ่านเรื่องย่อ บวกดู trailer ด้วยแล้วนี่ โคตรอยากดูอ่ะ มะนเกิดขึ้นกับผมทุกครั้ง ย้ำว่าทุกครั้งที่แรกได้ยลโฉมผลงานของผู้กำกับรายนี้ ส่วนความรู้สึกหลังชมนั้นก็เป็นอีกเรื่อง 


ความผิดพลาดของหนังเรื่องนี้คือ หนังใส่มาเยอะแต่ดันเล่าไม่หมด แถมยังใช้ศักยภาพของนักแสดงไม่เต็มที่ ก็นะแหม พี่วิลล์ สมิธ นั่งแทงขาตัวเองเล่นเกือบทั้งเรื่อง ส่วนจาเดน นั้นเรียกได้ว่า งานนี้ ป๋าดันเต็มที่แต่การดันในที่นี้ กลับมาแบบ หน้าเดียว คือหนังเหมือนจะเป็น coming of age ของตัวละครพ่อลูก แต่จากต้นจนท้ายกก็ยังไม่แน่ใจนักว่า เหตุการณ์ในหนังได้เปลี่ยนแปลงทั้งคู่ไปแล้ว หลายๆเหตุการณ์ที่น่าสนใจมันถูกทิ้งไว้ ทั้งๆที่มันสามารถหยิบมาเล่าได้อย่างสนุก อย่าง เรนเจอร์ มันสามารถเล่าลงไปได้ลึกถึงที่มา ที่ไป หรือ ปมขัดแย้งของพ่อ ลูก ที่เหมือนจะเป็นตัวขับเคลื่อนก็ยังดูไม่พีคเท่าที่ควร สภาพความเป็นอยู่บนดาวดวงใหม่ที่มนุษย์ไปอยู่ก็ไม่ถูกพูดถึง ครั้นยานตกมาถึงโลกก็ยังไม่มีเหตุการณ์ที่ร้ายแรง จนทำให้เราสามารถเชื่อได้ว่า มันอันตรายจนเป็นดาวต้องห้าม เพราะเท่าที่เห็นก็มีแต่สัตว์ร้าย กับเอ่อ สภาพอากาศที่แปรปรวน รวมทั้ง อืมมมม ก๊าซออกซิเจน ด้วยมั้ง สรุปก็คือหนังไปไม่สุดสักทาง แต่มันก็ไม่ได้แย่เหมือนคราว สี่ธาตุ นะ เรื่องนั้นน่ะ ผมเอียนจริงๆ หนังยืด ย้วย มาก เรื่องนั้นคงเป็นบทเรียนทำให้ After Earth เลยมีเวลาเพียงแค่ ชั่วโมงครึ่ง เห็นไหมล่ะ ยังมีเวลาอีกตั้งมาก ตั้งหลายอย่างที่สามารถเล่าได้ ทำไปเลย สามชั่วโมง ถ้าคุณแน่จริง คิดว่าคุณมีของเล่น มีเรื่องเล่าที่ดีจริงๆ ฉะนั้นแล้วหนังเรื่องนี้เลยทำไปได้แค่ "งั้น" หรือหากจะให้เหตุผลว่าส่วนที่ขาดหายไปนั้น อยู่ในนิยายสองเล่มที่คลอดออกมา





หากจะพูดถึงตัวผู้กำกับ M.Night แล้ว ผลงานที่ผมประทับใจก็มี The Six Sense, Unbroken แล้วก็ Sign ส่วนที่เหลือก็อยู่ในขั้นเฉยๆจนถึง "ไม่ไหวจะเคลียร์" ณ จุดๆนี้ ไม่ใช่การด่าว่า แต่จะขอเป็นกำลังใจให้กับ M.Night ได้กลับมาอยู่แถวหน้าผู้กำกับฝีมือดีแทนล่ะกัน เนอะ 

#ชอบ Jaden Smith มากอ่ะ ถึงเรื่องนี้จะไม่ได้โชว์ความสามรถอะไรมากมาย แต่ก็ยังเชื่อลึกๆว่า เขาจะต้องตามรอยผู้เป็นพ่ออย่าง Will Smith ได้แน่นอน



วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Poltergeist หนังผีชั้นเยี่ยม

Poltergeist



ตัดเรื่องที่ว่าผมชอบสตีเว่น  สปีลเบิร์กออกไปแล้ว ผมก็ยังคงชอบหนังเรื่องนี้ แม้ว่าลุงแกจะไม่ได้กำกับก็ตาม(แต่นะ ทำไมมันถึงมีsignature ของลุงเยอะจัง)  ซึ่งผู้กำกับในที่นี้คือ  Tobe Hooper ผู้ให้กำเนิดตำนานสิงหาสับน่ะล่ะ





หนังเรื่องนี้จะว่าไปมันก็สามสิบปีขึ้นไปแล้ว แต่ผมพึ่งจะมีโอกาสได้ดูเมื่อไม่นานมานี้แล้วพบว่า มันยังคงติดอยู่ในหัวผม เรื่องราวก็อย่างที่เราคุ้นเคยครับ ไม่มีอะไรมาก แต่ว่า สิ่งที่มันแตกต่างคือ ความเป็นoriginal ที่หนังยุคนี้ไม่ค่อยมีให้เห็น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือความจริงใจที่หนังมีต่อคนดู บางทีเราก็ไม่ได้ต้องการพล็อตหนังที่แบบหักมุม หรือเล่นท่ายาก ขอแค่จริงใจกับคนดูก็พอ  อย่างหนังเรื่องนี้ว่าด้วยครอบครัวหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในบ้านโครงการจัดสรร ก่อนจะพบว่าภายในบ้านของพวกเค้านั้นมีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่ แรกๆก็ไม่มีอะไรแต่นานวันเข้าก็เริ่มรุนแรงจนท้ายที่สุดลูกสาวสุดท้องของครอบครัวได้หายไป พวกเขาจึงได้จ้างวานให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งลี้ลับมาช่วยลูกสาวของพวกเค้า เนื้อเรื่องจริงๆก็มีเท่านี้ครับ ส่วนประเด็นรองอื่นๆนั้น ก็มีมาสนับสนุนอย่างความละโมบ  โลภมากของคน หรือแม้แต่การเปิดทีวีทิ้งไว้ขณะนอนหลับ ความสัมพันธ์ของคนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่สิ่งหนึ่งที่เด่นสะดุดความรู้สึกผมมากคือเหล่าตัวละครในเรื่องที่บ้าๆบวมๆอย่างที่เรามักจะเห็นกันในหนัง comedy กลับสามารถมาอยู่ในหนังสยองขวัญเรื่องนี้ได้ดีมากด้วยซ้ำ หนังอาจจะไม่ได้เน้นหนักทางความน่ากลัวเพราะจะว่าไปมันก็ค่อนข้างแฟนตาซีอยู่ มันเป็นการผสมผสานที่ลงตัวและกลมกล่อม ดูสนุกมากครับ สมแล้วล่ะที่ขึ้นหิ้งหนังคลาสสิคอีกหนึ่งชิ้น นอกจากนี้ยังมีการสร้างต่อยอดมาอีกสองภาค




ความสยองควรจะมีอยู่แค่ในจอเพราะในชีวิตจริงคงไม่มีใครอยากเจอ แต่ทว่าก่อนหน้าที่จะดูหนังเรื่องนี้ผมเคยอ่านบทความเกี่ยวกับ เอ่อออ  หนังต้องคำสาปก็มีด้วยกันหลายเรื่องเลย ทั้ง Superman,  The Omen ,Rosemary’s baby  อะไรอีกมากมายและมีเรื่อง Poltergeist อยู่ในนั้นด้วย ความสยองที่อยู่ในจอนั้นมากพอๆกับนอกจอเลยล่ะครับ อ่านๆดูแล้วก็น่าใจหายอย่างการตายของนักแสดงเอกของเรื่อง Heather O'Rourke ที่จากไปในวัย 12 ปี จากโรคที่รุมเร้าหลังจากเธอรับแสดงหนังเรื่องนี้ หรือนักแสดงหญิงที่รับบทพี่สาว Dominique Dunne ก็ถูกแฟนหนุ่มบีบคอจนตาย อะไรเทือกนั้น  ลองหาอ่านได้โดยใช้กูเกิลค้นหาดูครับ น่ากลัวมากเลยล่ะ





เมื่อดูจบแล้วไม่ลืมที่จะเก็บหนัง Poltergeist เป็นหนึ่งในหนังสยองขวัญที่ชื่นชอบ ซึ่งมีหนัง Rosemary’s baby, Frankenstein, Donnie Darko, 28 Days Later, Psycho, The Silence of the lamb, Evil Dead(ต้นฉบับ), Nightmare on Elm street, The Exorcist, Alien, The Return of The Living Dead, Let The Right One In, The Six sent, The Hills Have Eye, The Mist, The Cabin in Wood, The Fly รออยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว