วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Haruki Murakami : เรื่องเล่าของชายที่เรียกตัวเองว่า "ผม"


Haruki Murakami : เรื่องเล่าของชายที่เรียกตัวเองว่า "ผม"
"ครั้นก้าวเข้าไปในโลกของคุณ ผมก็ไม่อยากก้าวออกมาอีกเลย"

ผมรู้จัก Hariki Murakami จากร้านหนังสือแห่งหนึงในจังหวัดบ้านเกิด มันเป็นบ่ายวันพฤหัสบดี ในช่วงเวลาหลังเลิกเรียน หากมีธุระคุณสามารถหาผมเจอได้จากสามที่ ร้านขายภาพยนตร์ ร้านหนังสือ และบ้านผมเอง วันนั้นผมเลือกที่จะมุ่งเข้าร้านหนังสือ สายตาก็เพ่งไปยังกองหนังสือ ผมจำได้ว่าเมื่อห้าถึงหกปีก่อน จำนวนหนังสือบนแผงไม่ได้มากเหมือนทุกวันนี้ หนังสือที่ติด Bestseller นั่นก็มักจะถึงคุณภาพไปด้วยในระดับนึง หนังสือที่บอกว่าเยี่ยมนั่นก็หมายถึงมันเยี่ยมจริงๆ แต่ช่วงเวลาเดี๋ยวนี้ดูเหมือนเราจะใช้คำว่า Bestseller และ ยอดเยี่ยม กันเปลืองไปหน่อย สายตาผมมองผ่านหนังสือหลายเล่มโดยเฉพาะหนังสือที่มีอักษร New York Times Bestseller ซึ่งผมเคยหลวมตัวอ่านมาแล้วสองสามเล่ม ผลลัพธ์คืออ่านข้ามหน้า ข้ามบท ข้ามตอน และผลงเลยมักสรุปว่า ไม่ประทับใจ ผมมองไปยังหนังสือของสำนักพิมพ์ a book ที่ผมไว้วางใจ แอบมองไปยังฝั่งอมรินทร์บ้าง ไปดูของคุณปราบดา หยุ่นบ้าง ก็มีที่ถูกใจแต่ยังไม่ใช่อารมณ์ที่มากมายถึงกับหยิบออกมาไปยังเคาน์เตอร์แล้วจ่ายเงินหยิบออกมา



ไม่นานสายตาพลันก็ไปสะดุดเข้ากับหนังสือเล่มโตของสำนักพิมพ์ GAMME magie กำมะหยี่ หนังสือเป็นปกรูปโตเกียวเทาเว่อร์ แล้วมีอักษรสี่ตัวที่ทำให้ผมฉงน "1Q84" คือะไร คำถามแรก จริงอยู่ที่ผมนึกถึงหนังสืออมตะอย่าง 1984 ของ แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่เคยอ่าน 1984 แต่ก็พอจะคุ้นหน้าค่าตาของหนังสือแปลไทยเล่มนี้อยู่บ้างรวมถึงเนื้อหาคร่าวๆ ไม่ช้าผมเอื้อมมือไปหยิบ 1Q84 แล้วค่อยๆไล่สายตาไปทีละบรรทัด 'Haruki Murakami' ผมพยิกไปอ่านเนื้อความด้านหลัง นวนิยายยิ่งใหญ่จากปลายปากกา ฮารูกิ มูราคามิ แล้วผมก็ไล่สายตาต่อไปเรื่อยๆ ยังหน้าแรก หน้าที่สอง ผมอยากหยิบหนังสือเล่มนี้แล้วไปจ่ายเงินในทันที แต่ในกระเป๋าเงินผม ไม่ได้พกเงินมามากพอที่จะทำเช่นนั้น ผมวางหนังสือเล่มนั้นไว้ตามเดิม แล้วกลับบ้านแต่ในใจผมยังคิดถึง 1Q84 และชื่อของ Haruki Murakami

วันที่ 24 เดิอนธันวาคม ปี 2555 ผมก็ได้ทำตามใจปรารถนา ผมหยิบหนังสือ 1Q84 ออกมาจากร้านไม่ใช่แค่เล่ม 1 แต่รวบหมดทั้งสามเล่ม แต่ช่วงนั้นติดสอบ ผมจึงไม่ได้เริ่มต้นอ่านมันแต่อย่างใด หนังสือทั้งสามเล่มนอนนิ่งอยู่ในตู้หนังสือรวมกับหนังสือเล่มอื่นๆของผม



เดือนมีนาคม หลังจากสอบเสร็จ ช่วงเวลาของที่แสนวุ่นวายของเด็ก ม.6 ทุกคน ผมก็ได้เริ่มอ่าน 1Q84  เริ่มแรกผมไม่ได้หลงรักมันในทันที เช่น รักแรกพบ  แต่มันเป็นความรู้สึกที่เริ่มคุ้นเคย ค่อยๆก้าวเข้าไป ตัวอักษรบนหน้ากระดาษค่อยๆซึมลึกลงไป Murakami บรรจงสร้างโลกอีกใบขึ้นมา และหลังจากนั้นผมกHติดอยูในนั้น โลกของ Murakami   


ผมไม่ได้เข้าใจทุกอย่างใน 1Q84 แต่ความรู้สึกที่รู้สึกคือ มันหลงรัก มันเป็นความรูสึกที่ยากจะอธิบาย ผมเข้าใจแล้วว่าทำไม ผูคนจำนวนหนึ่งถึงได้เสพติดผลงานของชายผู้นี้ คงเหมือนกับที่ผมหลงรักโลกของ หว่อง คาไหว รู้ตัวอีกทีในตู้หนังสือของผมก็มีหนังสือของ Murakami เพิ่มขึ้น



วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Three Extremes : ผู้เคราะห์ร้าย


วัยเด็กผมเคยดูอารมณ์ อาถรรพณ์ อาฆาต ในปี 2002 แล้วผมว่ามันคือความน่าเบื่อขนานแท้ ผมเองก็บ้าอยากลองของใช่ย่อย ลองคิดดูเถิดเด็กประถมริอยากดูหนังสยองขวัญ แค่นั้นยังไม่พอมันดันเป็นหนังสยองขวัญที่ดูยากจนแทบต้องปีนกระไดดู อารมณ์ อาถรรพณ์ อาฆาต จึงถือเป็นยาขมเรื่องแรกๆที่ผมลิ้มรส 

อารมณ์ อาถรรพณ์ อาฆาต 2 เข้าฉายในอีก 2 ปีถัดมา ผมไม่คิดที่จะหยิบเรื่องนี้หรืออ้อนวอนให้พ่อและแม่หามาดูเลย เพราะกลัวว่าความงงงวยจะเข้าครอบงำ มาวันนี้ผมอยู่ ม.ปลาย เตรียมย่างเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จากการดูหนังอย่างโชกโชนราวคนบ้าคลั่ง อารมณ์ อาถรรพณ์ อาฆาต 2 จึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่แสนจะท้าทาย ประสบการณ์การดูหนังแปลกๆ ของผม และเมื่อดูจบพบก็พบว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะอธิบายหนังเรื่องนี้ออกมาไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือตัวอักษร ให้คนที่ดูแล้วมาเล่าให้ฟังแต่ละคนก็คงเล่าแตกต่างกันออกไป แม้หนังที่ดูจะเป็นเรื่องเดียวกันก็ตาม 



โดยส่วนตัวเป็นคนที่ชอบดูหนังที่เป็นเรื่องราวสั้นๆ นำมาร้อยเรียงกัน ยิ่งเป็นหนังที่มีคอนเซปส์ยึดไว้แล้วให้ผู้กำกับต่างคนต่างตองคิดหาแง่มุมที่นำเสนอเองแล้วยิ่งชอบดูไปใหญ่ เพราะผู้กำกับ ทีมงาน ต่างก็ต้องสำแดงของดีกันออกมาทั้งนั้นเช่นกันกับ อารมณ์ อาถรรพณ์ อาฆาต 2 เป็นหนังสั้นๆสามเรื่องจากผู้กำกับสามชาติ ญี่ปุ่น จีน เกาหลี (งานนี้ขาดพี่ไทย)ที่รวมตัวกันเพื่อโปรเจคสุดหินนี้ และจากชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ Three Extremes ก็คาดหวังไว้ได้เลยว่าจัดหนักทั้งในเรื่องคอนเซปส์ นักแสดง ที่สำคัญคือศิลปะบนแผ่นฟิล์มที่ผู้กำกับแต่ละท่านไม่ยอมน้อยหน้าควักท่าไม้ตาย ไม้เด็ดออกมาง้าง ท้าตีกันอย่างจัดเต็ม 

ในตอนแรกกับตอน BOX ได้ถูกเลือกให้เป็นการเปิดเรื่อง และหนังทำหน้าที่ในการอินโทรคนดูได้เป็นอย่างดี และดูเหมือนจะเป็นตอนที่มีรายละเอียด มีเรื่องราว ยุบยั่บให้คนดูตามเก็บมากมาย การวางปมปริศนามีให้เห็นทั่วทั้งเรื่อง ความจิตของตัวนางเอกที่ดูแล้วน่าขนลุกขนพองมากกว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในกล่องเสียอีก อารมณ์หนังดูหม่นๆสร้างความหวาดหวั่นไปพร้อมกับความเย็นยะเยือกอย่างได้ผลดี เทคนิคการตัดต่อทำออกมาได้อย่างสอดคล้องกับความจิต หนังยังมีการสร้างจุดหักมุมให้คนดูเซอร์ไพร์สเป็นของขวัญกับตอนจบที่ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ตกลงแล้วเป็นเพียงความฝันหรืออย่างไร ? 

ตอนที่สองกับ Dumplings เป็นเรื่องราวของดาราสาว(ที่เริ่มจะไม่สาว)ซึ่งสามีแอบนอกใจ เธอจึงพยายามทำให้ชายคนรักกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง โดยไปขอความช่วยเหลอจากสาวนางหนึ่งซึ่งมีสูตรลับคือ อาหาร แต่เป็นอาหารที่ทำจากเนื้อเด็กทารกอันมาจากการทำแท้ง หนังเล่าเรื่องออกมาแบบทีเล่นทีจริง ให้อารมณ์แบบตลกร้ายระหว่างความน่าสะอิดสะเอียนและสมเพชไปกับชะตากรรมของตัวละคร ดูจบแล้วอาจไม่อยากกินฮะเก๋ากันอีกต่อไป หากจะว่าไปแล้วตอนที่สองนี้ดูเหมือนจะเป็นตอนที่มีความสนุกและเอนเตอร์เทนคนดูมากที่สุด ตอนจบของหนังก็ยังให้ผลลัพธ์ที่ติดค้างอยู่ในอารมณ์คนดู 

ตอนสุดท้ายซึ่งผมดูแล้วถึงกับสะอึกนิดนึง เนื่องจากความคล้าย ผมต้องบอกก่อนว่าผมชอบหนังเรื่องห้าแพร่งมาก(ผมสารภาพว่าเป็นแฟนหนังค่าย GTH) และความคล้ายที่ว่าคือมันคล้ายกับเรื่อง คนกอง ของผู้กำกับโต้ง ในแง่นึง จนแอบหวั่นว่า เฮ้ย มันจะเหมือนกันทั้งหมดหรือเปล่าแต่ก็ต้องโล่งใจที่ความคล้ายกันนั้น เป็นแค่ในเรื่องของการอยู่ในกองถ่ายหนังเท่านั้น CUT เล่าเรื่องราวของผู้กำกับหนุ่มและแฟนสาวที่ต้องเอาชีวิตให้รอดจากหนุ่มโรคจิตร่างอุบาทว์ พวกเค้าทั้งคู่ต้องร่วมเล่นเกมที่แสนหฤหรรษ์ประสาท หนังมาพร้อมอารมณ์กวนๆ ความฮาอย่างร้ายกาจ การตัดต่อ มุมกล้องดูโฉบเฉี่ยว หนังค่อยๆทวีความต่นเต้นตามระดับก่อนจะลงท้ายด้วยความสลดใจ 



หนังทั้งสามมีจุดร่วมที่เหมือนกันคือหนังมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ ผู้เคราะห์ร้าย ผู้ที่ต้องรับเคราะห์กรรมจากสิ่งที่ตนไม่ได้ก่อ และที่สำคัญคือผู้เคราะห์ร้ายส่วนใหญ่คือผู้หญิง หนังไม่ได้สร้างความน่ากลัวจนต้องร้องกรี้ด ปิดตาหยี แต่หนังกลับมีชั้นเชิงในการเล่าถึงปัญหาสังคมที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุค กี่สมัยก็ยังคงมีให้เห็นและผุ้หญิง เด็ก ผู้ที่อ่อนแอ ต่างคือเหยื่ออันโอชะที่ถูกเล่นงาน 

หากใครที่หาหนังผีที่ต้องลุ้นระทึก โก่งตัวดู ใจเต้นระส่ำระส่าย บอกผ่านหนังเรื่องนี้ไปได้อย่างไม่ต้องเสียดาย หากใครกำลังหาหนังสักเรื่อง(สามเรื่อง)ที่เต็มไปด้วยแง่มุมให้ขบคิด ความคลุมเคลือให้หาคำตอบเอาเอง มีชั้นเชิงมีความเป็นศิลปะมากกว่าเป็นหนังสยองขวัญเบาปัญญาไม่ประเทืองอารมณ์ Three Extremes คือหนังคุณภาพเรื่องนั้นที่คุณมองหา




Stoker : วันที่ฉันเปลี่ยนรองเท้าคู่ใหม่



แม้จะไม่ใช่คนที่คลั่งผลงานของผู้กำกับสุดจิต Park Chan-wook แต่ในทุกผลงานที่ผ่านตาล้วนแล้วแต่เป็นความประทับจิต โดยส่วนตัวก็เคยดูแต่ Old Boy และยังเป็น 1 ใน10 หนังสยองขวัญจิตหลุด ที่ผมหลงรัก ในการข้ามซีกโลกมาทำหนังใน Hollywood ของผู้กำกับรายนี้ในผลงาน Storker เป็นอะไรที่น่าจับตามองมากๆ



เนื้อแท้แล้ว Storker อาจไม่ได้มีไอเดียสดใหม่ หรือเรื่องราวพลิกผันเหนือความคาดหมาย แต่การนำเสนอที่จัดเต็ม จัดจ้านแบบสุดๆของผู้กำกับ บวกกับการแสดงที่ไม่มีใครยอมใครของนักแสดงนำทั้งสาม ช่วยให้หนังเรื่องนี้มันดูลื่นไหล มีมิติ Mia Wasikowska สอบผ่านในระดับ A กับการสร้างตวตนของตัวละคร India จากหนึงไปถึงร้อย จนลืมภาพหนูอลิซไปเลย Nicole Kidman หนึ่งในตัวแม่ที่มีดีกรีออสการ์อยู่ในมือ ครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง ท่วงท่า กิริยาของเธอน่าหลงใหลมากๆ Matthew Goode ครั้งนี้เขาได้ทำอะไรที่แปลกมากยิ่งขึ้นและอยากบอกว่านี้คือเซอร์ไพร์สของจริงแม้อาจไม่สามารถเทียบได้กับ Norman Bates แต่ใครจะปฏิเสธล่ะว่าตัวละคร Charles Stoker  ไม่มีเสน่ห์ และที่สำคัญคือมีมีลายเซ็น เอกลักษณ์เฉพาะตัวของผู้กำกับอยู่อย่างเต็มเปี่ยม



ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัว  Storker  หัลงการสูญเสียหัวหน้าครอบครัวทำให้ลูกสาว India Stoker รู้สึกสับสน เพราะในวันนั้นเป็นวันเกิดครอบรอบ 18 ปีของเธอแต่เธอกลับต้องมาสุญเสียพ่อไป เธอสนิทกับพ่อมาก แต่กลับมีความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่กับผู้เป็นแม่ ในพิธีฝังร่างของผู้พ่อนั้น ก็มีชายผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น น้องชายของพ่อ การมาของ Charles Stoker ทำให้ India  ได้พบสิ่งที่อยู่ในตัวเธอ เหยื่อ หรือ ผู้ล่า


 'การล่าคือการเฝ้ารอจังหวะ'  ผู้กำกับไม่ได้ทำให้หนังออกมาเป็นเส้นตรง แต่กลับใส่ลีลา เย้ายวน หยอกล้อ ช่วยให้หนังดูลึกและสามารถตีความได้หลากแง่มุมยิ่งขึ้น คงไม่ถึงกับต้องไปเปิดคัมภีร์ ว่าด้วยจิตวิทยาของผู้เชี่ยวชาญดู เพียงปล่อยใจไปกับเร่องราวที่อยู่ตรงหน้า ที่ผมชอบอีกส่วนหนึ่งคือหนังมีจังหวะในการเล่าเรื่องที่ดูมากๆ ทั้งๆที่ ตลอดความยาวของหนังแทบไม่มีจุดพีคเลยแต่หนังกับสะกดผมได้เป็นอย่างดี ซาวน์แทรคหนังเองก็โดดเด่นเป็นอย่างมาก อย่างที่บอกมันมีหน้าที่ในการทำานของมัน ซึ่งมันไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี ฉากติดตรึงตาคือฉากเล่นเปียโนที่มีนัยนะสื่อถึงการร่วมเพศ มันเป็นฉากที่น่าจดจำไม่ใช่แค่จากหนังเรื่องนี้ แต่น่าจะเป็นหนึ่งในฉากที่น่าจดจำอีกฉากหนึ่งในโลกภาพยนตร์



หากใครที่กำลังหาหนังที่มีคุณค่า เหมาะแก่การดู อาจไม่สมบูรณ์แบบมากนัก แต่ ณ จุดนี้บอกเลยว่า Storker คือหนึ่งในหนังที่ผมประทับใจ

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คนตัวเล็กและคนตัวใหญ่ : Jack the Giant Slayer




คนตัวเล็กและคนตัวใหญ่ : Jack the Giant Slayer



Jack the Giant Slayer เป็นหนังเรื่องแรกๆของปีที่ตั้งใจไว้ว่าอยากดู เพราะผู้กำกับ Bryan Singer ส่วนหนึ่ง นักแสดงอย่าง Ewan McGregor และ Nicholas Hoult ร่วมด้วย ทั้งยังคาดหวังไว้ในระดับที่ค่อนข้างสูง แม้ว่าพักหลังผลงานของผู้กำกับจะเริ่มออกข้างทาง เรื่องราวของคนตัวเล็กที่ลุกขึ้นมาต่อกรกับคนตัวใหญ่ ชนชั้น การเสียดสี เหน็บแหนม อารมณ์ขันแบบร้ายๆ หรือไม่ก็ดาร์กแบบสุดๆไปเลย ผสมกับการออกแบบ โปรดักชั่นเจ๋งๆ ฉากแอ็คขั่นแบบมันส์ๆ แค่คิดมันก็น่าสนุกแล้ว แต่ครั้นพอหนังถึงวาระที่ต้องฉายจริงๆ(เลื่อนฉายจากปี 2012) การโปรโมตของหนังก็ดูไม่เอาไหน ตัวอย่างแรกๆที่ออกมาก็ไม่ดึงดูดใจมากนัก แต่ด้วยความยึดมั่นที่ว่าอยากดู ยังไงก็ไม่มีพลาด



ช่วงแรกที่เปิดฉายหนังได้รับคำชมในระดับที่น่าพึงพอใจ แต่พอเข้าฉายวงกว้างเท่านั้น ทุกอย่างก็ดิ่งลง คนงบน้อยอย่างผมเลยถอนโปรเคหนังเรื่องนี้ออก และได้ดูเมื่อไม่นานมานี้เอง 



หนังดัดแปลงจากเทพนิยาย(อีกแล้ว) จากปีก่อนๆที่มีให้เห็นอย่างเรื่องของสโนว์ไวท์ หนูน้อยหมวกแดง ว่ากันไป แต่จะว่าไปแล้ว แจ็ค เพราะในอดีตก็เคยมีหนังใหญ่มาแล้ว แต่ที่รู้สึกเสียดายในเว่อร์ชั่นใหม่นี้คือ ความสดใหม่ หนังแห้งแล้งมาก แทบไม่มีอะไรให้จับต้องได้เลย เมื่อหนังปิดม่านลง ต้องยอมรับว่าหลังยุค AVATAR แล้วหนังเริ่มขายยากขึ้น ทั้งเรื่องของบทและCGI หนังเรื่องนี้ในแง่แล้วสามารถเป็นอะไรที่ฮิตได้ หากหนังสามารถหาจุดร่วมได้ หนังขึ้นๆลงๆ บทขาดๆเกินๆ การเล่าเรื่องคู่ขนานของคู่พระ นาง ในเชิงทฤษฎีแล้วมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างโรแมนติกมาก แต่หนังใช้ประโยชน์ในจุดนั้นน้อยมาก ไปจนถึงตัวละครที่ดูแบน ราบไม่มีมิติ ทั้งๆที่นักแสดงแต่ละคนก็ไม่ได้ด้อย ต่างก็ได้รับการยอมรับ การออกแบบที่ดูไม่มีเสน่ห์ มันทำให้ขาดสีสันไปอย่างน่าเสียดาย หากเทียบกับ Snow White and the Huntsman แล้วผมว่า Jack แพ้อย่างไม่มีข้อแก้ตัว เรื่อยไปจนถึงเสื้อผ้า หน้าผมตัวละครที่ดูลิเกฝรั่งมาก ไม่รู้ว่าปล่อยให้ผ่านได้ยังไง เว้นแต่ดนตรีประกอบของหนังที่ถือว่าผ่าน 



แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังชอบหนังเรื่องนี้ ส่วนตัวชอบอะไร ที่ดู Miracle ผสมแนวเทพนิยาย เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ถึงกระนั้นภาพรวมมันก็ยังเป็นอะไรที่ไม่น่าจดจำอยู่ดี เอาเป็นว่าใครที่ชื่นชอบ ชื่นชมอะไรในองค์ประกอบเรื่องนี้ หยิบมาดูในวันว่างๆคงไม่เสียหลายอะไร ความบันเทิงใจหนังก็ยังพอจะมีให้ สุดท้ายก็ต้องบอกว่า ขอให้มีความสุขกับการรับชมครับ


วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กางเกงสีแดงที่หายไปและแว่นตาที่สวมใส่ : MAN OF STEEL

เรารอคอยและคาดหวังว่าจะได้ยล MAN OF STEEL มาตั้งแต่เมื่อได้ข่าวประกาศสร้าง เนื่องด้วยเป็นแฟนหนังของ แซ็ค สไนเดอร์ รวมทั้ง ซูเปอร์แมน ฉบับใหญ่ แต่ไม่ใช่แฟนบอย คอมมิค ครั้นพอได้ดูจริงๆกลับรู้สึก.....



ที่ต้องขอชื่นชมคือ ความอลังการ ในระดับที่เหนือความคาดหมาย โปรดักชั่น สุดยอดมากจริงๆ เสื้อผ้าหน้าผม ดูไม่เฉย ไม่เฉิ่ม เหมือนๆที่เคยเห็นมา โดยเฉพาะช่วงครึ่งแรกผมชอบมากบอกเลยว่า เทใจให้เต็มสิบ กับการเปิดโลกของของซูเปอร์แมนดาวคริปตันซึ่งกำลังล่มสลาย การออกแบบนั้นดูดี มีศิลปะน่าหลงใหลมากเรียกว่าน้องๆอวตารเลยก็ว่าได้ สามมิติ ช่วงนี้รู้สึกดีมากเป็นพิเศษ(แต่...)

ในช่วงครึ่งแรกหนังไปเร็วมากๆ ตัดฉึบฉับๆ ไม่เหลือเค้าของผู้กำกับ WATCHMEN ที่ผมหลงรักเลย(มีข่าวลือว่าช่วงต้น โนแลน ลงมาช่วยกำกับ ก็อาจจะจริงเพราะรู้สึกว่าช่วงแรกมันเป็นลายเซ็นของโนแลนสูง) โดยเล่าเรื่องการล่มสลายของอารายธรรมดาวคริปตันมาจนถึงการใช้ชีวิตของพระเอกเรา คลาร์ก เคนท์ ที่ต้องใช้ชีวิตหลบๆซ่อนๆ ไร้ตัวตน แต่อย่างที่ได้บอกไป หนังมีขอบเขตที่กว้างมาก แต่ด้วยการพยายามยัดทุกๆอย่างเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งความเป็นดราม่า ความเป็นแอ็คชั่นที่เข้ามาเป็นพักๆก่อนจะไปแน่นในช่วงท้าย รู้สึกวามันไม่ใช่แนวทางที่ดีมากนัก นอกจากช่วงแรกจะไม่สามารถคล้อยตามพระเอกแล้ว ยังรู้สึกว่ามันง่าย การหาทางออก การตัดสินใจของตัวละครมันดูอ่อนด้อยไป ดูลอยๆไม่มีมิติ ความสัมพันธ์ของพระ-นางก็ดูพรวดพราด แต่ก็พอให้อภัยเนื่องด้วยเคมีที่ลงตัว ตัวร้ายที่ดูดีในภาพนิ่งทั้งๆที่ได้นักแสดงโครตเทพมาแล้วแท้ๆ ก่อนที่ช่วงท้ายกว่าสี่สิบนาทีจะเป็นฉากแอ็คชั่นที่ การ์ตูนจ๋า จนรู้สึกว่ามันขัดกันกับความดาร์กที่อยู่ในทิศทางหนัก ลองชมดูกันเองคงพอรู้สึกกันได้



ถ้าถามว่าชอบอะไรมากที่สุด คงตอบว่า ชอบเบื้องหลังของหนังเรื่องนี้มากกว่า ทั้งนักแสดง ผู้กำกับ ทีมงาน วิชวลหนัง สกอร์หนัง ฮานน์ ซิมเมอร์ ทำได้อย่างยอดเยี่ยม ขนลุกทุกครั้งที่ดนตรีบรรเลงขึ้น

แต่ที่ไม่ชอบเลยคือเบื้องหน้าของหนังโดยเฉพาะช่งครึ่งหลัง มันไม่ได้ดูมันส์เหมือนรวมทีมอเวนเจอร์ หรือดูหนักแน่นเหมือนคราวแบทแมน ผมกลับรูสึกว่ามันไปในทาง กรีน แลนเทรินน์ ซะมากกว่า 

หนังทิ้งเชื้อไว้ได้ดี น่าติดตามไม่น้อย กับการสวมแว่นใช้ชีวิตในมุมที่เราคุ้นเคยจากความรู้ดั้งเดิม หวังว่าภาคต่อไปคงไม่นำกางเกงแดงมาใส่ไว้นะ 



เรื่องของสามมิติ  แนะนำว่า ดูรอบปกติ ดิจิตอล ก็น่าจะเพียงพอแล้ว เพราะผมรู้สึกว่ามันไม่ทะลุ ไม่นูน ไม่อะไรเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ 

โดยรวมแล้วถามว่าชอบไหม "ชอบ" แนะนำไหม "แนะนำ" แต่ก็อย่างที่บอกทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ เกาะชายผ้าคลุมของเขาไว้ เปิดใจให้กว้าง ลดความคาดหวังลง บางทีคุณอาจรู้สึกว่า มันก็ไม่ได้แย่

#เราชอบ Superman Returns มากกว่า นะ