รีวิว The Maze Runner ในรูปแบบ 4DX
วันก่อน (20/09/2014) เราได้ไปดู The Maze Runner มา จริงๆก็คิดเอาไว้ว่าจะดูรอบปกติน่ะแหละ เพราะฟอร์มหนังก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดที่จะต้องลงทุนดูแบบ 4DX เพื่อเปลืองกะตังค์ แต่โชคดีที่เรามี Gift Voucher และมันก็ใกล้หมดอายุแล้วด้วย เลยตัดสินใจใช้กับหนังเรื่องนี้ รวมแล้วเสียแค่ค่า VAT ไป 60 บาทเป๊ะ หนังเรื่องนี้จึงมีสถานะเป็นการดูหนังในระบบ 4DX เรื่องแรกในชีวิต(ฟังดูยิ่งใหญ่ดีจัง)
เรายังไม่เคยอ่านตัวนิยายนะ เลยไม่รู้รายละเอียดที่อยู่นอกเหนือจากภาพยนตร์ไม่รู้ว่า เค้าตัดทอน เสริมแต่งดัดแปลงจากต้นฉบับมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าเอาตัวหนังเป็นตัวหลักแล้วล่ะก็ รู้สึกว่าบทหนังดูไม่ค่อยมีเนื้อหามากนัก จริงอยู่ว่าเนื้อเรื่องเต็มไปด้วยปริศนาแต่ประเด็นที่จะกล่าวคือ หนังไม่ได้พยายามเฉลยปมปริศนานั้น เมื่อถึงตอนจบ หนังก็ไม่ได้เฉลยเรื่องราวอะไรมากนัก และหนังก็สร้างปมต่อมาซึ่งใหญ่กว่าเดิมเป็นทายาท เพื่อบอกกับคนดูว่า "รอดูเฟสสองนะจ๊ะ"
หนังห่วยไหม ไม่ห่วยเลย หนังสนุก และดูดีมีชาติตระกูลแม้สถานะจะไม่แกร่งเท่า The Hunger Games แต่ที่แน่ๆคือ The Maze Runner เป็นอีกหนึ่งว่าที่โปรเจคภาคต่ออันทรงคุณค่า ที่จะได้ทั้งเงินทั้งแฟนคลับอย่างอุ่นหนาฝาคลั่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแน่นอน ส่วนตัวมองว่า The Maze Runner มีความเป็นออริจินที่น่าสนใจมากๆ ที่ทำให้มันแตกต่างจาก Harry Potter, Twilight, The Hunger Games หรือ Divergent คือหนังเน้นแนวทางระทึกขวัญ มีกลิ่นทริลเลอร์ ติดมาด้วยนิดๆ และที่ค่อนข้างชอบเลยคือ ตัวละคร ที่แม้มันจะไม่ได้ดูโดดเด่นอะไร แต่ในความธรรมดาคือน่าจดจำ The Simple is the best นี่เป็นหนังเรื่องแรกของผู้กำกับ Wes Ball ซึ่งเราถือว่า เค้าสอบผ่านนะ ยิ่งเทียบกับทุนสร้างแล้วมันออกมาดีที่เดียว
ที่อยากจะเม้ามอย คือระบบ 4DX จ้าาาาา เราไม่รู้ว่ามันทำให้การดูหนังสนุกขึ้นจริงหรือไม่ สำหรับเด็กวัยรุ่นอาจชอบ(จริงๆเราก็วัยรุ่นนะ ปีหนึ่งเอง) แต่กับคนที่มีอายุอานาม การดูหนัง 4DX คงไม่ต่างจากหายนะ เพราะสิ่งที่เค้าโฆษณานั้น มันทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยล่ะ ถ้าคุณแต่งหน้าจัดๆไปให้รู้เลยว่า บะอองน้ำจะทำให้หน้าคุณเลอะแน่ๆ ถ้าคุณเป็นคนขี้ตกใจคุณจะยิ่งกว่าเสียขวัญเพราะช่วงฉากแอ็คชั่นนี่ พี่แกโยกมาเป็นชุดจ้าาา ไม่เท่านั้นนะ ในหนังมันจะมีฉากที่พระเอกโดนต่อย นู่นนี่นั่น เก้าอี้ก็ต่อยคุณด้วย อารมณ์เหมือนนั่งเก้าอี้นวด เออ สนุกดีออก
อีกอย่างคือ เอฟเฟกส์เหล่านี้มันจะทำให้คุณตกใจและเสียสมาธิกับการดูหนังค่อนข้างมาก เพราะมันจะเรียกร้องความสนใจ แทนที่เราจะเอาใจช่วยตัวละครในเรื่องคุณอาจต้องมาห่วงพะวงว่า เฮ้ย เก้าอี้มันจะโยกป่ะ**มันจะหมุนป่ะ** มันจะต่อยกูไหม ลมจะพัดมาตอนไหน เดี๋ยววิกปลิว เฮ้ยนี่มันกลิ่นเชี่-----ย ไร** เหม็นฉิ---บ แล้วที่เราบอกว่ามันโยกอ่ะ มันไม่ใช่โหยกแบบ เบาๆๆนะ มันเหวี่ยงอ่ะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ช่วงฉากแอ็คชั่นนี่คือ มันส์จริงๆๆแบบ เดินออกจากโรงมาแทบต้องจับหัวตัวเอง กว่าหัวหลุดจากบ่า รอบที่ไปดูมีประมาณ 20 กว่าคน เราก็มองไปรอบๆๆ เออ มีพี่คนหนึ่งกำลังบิดรูปคอตัวเองให้เข้าทรง คงไม่มีเราคนเดียวที่รู้สึกว่า เออ** เห----ยด นี่ขนาดดู The Maze Runner นะ ถ้าเป็นพวก Transformers: Age of Extinction, Teenage Mutant Ninja Turtles จะขนาดไหน**เนี่ย ?
สรุปวัดจากตัวหนังเพียวๆเราว่า มันก็ดีในระดับนึงเลยล่ะ ไม่รู้สึกว่าเสียดายตังค์ ส่วนตัวให้เกรด B แนะนำให้ดูเลยล่ะ สนุกกว่า divergent แต่ยังไม่ถึง THG ส่วนระบบ 4DX นั้น คงแล้วแต่บุคคล เราว่านานๆเปลี่ยนบรรยากาศไปดูอะไรที่มันแรงๆๆมากก็สนุกดีนะ แม้ว่าค่าตั๋วเต็มๆของ 4DX จะมหาโหดก็ตามที
วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557
Road To Oscar "รีวิว BoyHooD"
BoyHooD
จำเรื่องราวของเมื่อวานได้ไหม ?
คงไม่ต้องมานั่งสาธยายถึงสรรพคุณ ความงามของหนังเรื่องนี้ให้เสียเวลาว่ามันวิเศษ วิโสยังไง ว่ามันมีดะไรนักหนา ทำไมต้องไปดู เพราะเชื่อว่า ใครก็ตามที่กำลังอ่านอยู่คงมีเหตุผลส่วนตัวเป็นคำตอบในใจอยู่แล้ว
แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ความมหัศจรรย์เบื้องหลังของหนังที่ผมตามอ่าน ตามเก็บมาก็มีความน่าสนใจไม่แพ้ภาพที่ปรากฏขึ้นบนจอ หนึ่งเลยที่ทุกคนรู้ดีคือ หนังเรื่องนี้ใช้เวลาในการถ่ายทำยาวนานกว่า 12 ปี ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครทำ และใครที่คิดทำคงบ้าไปแล้วแน่ๆ ลำพังแค่การทำหนังสักเรื่องออกมาก็มีเรื่องให้ต้องปวดหัวอยู่แล้ว แนวคิดเดิมของหนังคือตัวผู้กำกับ Richard Linklater มีลูกสาวและเกิดกังวลใจในอนาคตข้างหน้า ไอเดียนี้จึงค่อยๆก่อรูปร่างขึ้นมา (ซึ่งลูกสาวของเค้าก็คือพี่สาวของเมสันในเรื่อง) หนังใช้เวลาราว 12 ปี นับตั้งแต่ปี 2002 ถึงปลายปี 2013 การเขียนบทก็ไม่ได้ขีดกรอบไว้นัด แต่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะของนักแสดงหลักเป็นใหญ่ Ellar Coltrane คือคนที่ว่า การได้เห็นเหล่านักแสดงในหนัง เติบโต ไปตามกาลเวลานับว่าเป็นเรื่องที่แสนมหัศจรรย์ อีกรูปแบบหนึ่ง ทุกตัวละครในเรื่องต่างมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ และสำหรับผมมันเป็นเรื่องสนุกนะ สนุกกว่าการนั่งดูหุ่นยนต์ซัดกันอุตลุตเสียด้วยซ้ำไป
Boyhood พาคนดูย้อนกลับไปยังอดีต (รู้สึกพักหลังๆจะมีหนังแนว retro ไม่ก็พูดถึง Time ออกมามากมายเหลือเกิน ไม่รู้เป็นความบังเอิญหรือไร) จากนั้นเราก็ค่อยๆเคลื่อนผ่านกาลเวลาตามมา เราจะรู้สึกร่วมกับตัวละครอย่างแน่นอน ผ่านบทที่ถูกเขียนขึ้นมาอย่างเรียบง่าย มันต้องเชื่อมโยงถึงชีวิตคนดูบ้างไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง(แม้บริบทจะเป็นฝรั่งจ๋าก็ตามที) รวมทั้งเหตุการณ์สำคัญๆในโลกของ Boyhood ต่างก็เป็นหลักไมล์ชั้นดีให้เราหวนนึกถึงวันวานนั้นขึ้นมา การที่หนังแทรกสอดเหตุการณ์ร่วมสมัยเข้ามา ไม่รู้ว่าจงใจหรือบังเอิญ มันกลับมีนัยยะบางอย่างต่อตัวหนัง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าคิวเพื่อรอซื้อหนังสือ Harry Potter, การเลือกตั้งใหญ่ของสหรัฐ, เทคโนโลยีในท้องเรื่อง เป็นต้น ที่สำคัญไม่ต่างกันคือ Sound และ Score ที่ถูกใช้ในหนังเป็นมากกว่าการใส่เข้ามาประกอบเรื่องราว หากแต่มันคือ นาฬิกา บอกเวลาอย่างเที่ยงตรง แม้จะมีความยาวเกือบร่วมสามชั่วโมง แต่กลับไม่มีช่วงไหนที่ทำให้เรารู้สึกว่า มันเยอะเลย เช่นที่ได้บอก หนังมันดึงดูดในตัวมันเองอยู่แล้ว ใครที่เคยเสพผลงานผู้กำกับรายนี้มาแล้ว คงพอเข้าใจ signature ของแกว่ามันมีทิศทาง สไตล์ไหน
บนโลกนี้มีหนังมากมายหลายเรื่อง แต่ค่อนข้างมั่นใจว่า Boyhood มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ที่อยากให้หลายคนลองรับชม หากมีโอกาสได้รับชมในโรงใหญ่ยิ่งดี คิดดูว่ามันจะวิเศษแค่ไหน เมื่อวันเวลาผ่านไป คุณได้ไปบอกเล่ากับคนรุ่นหลังว่า ?ผมเคยซื้อตั๋วหนังเรื่อง Boyhood ดูด้วยล่ะ?
สารภาพตามตรงว่าตอนที่ดูจบ ผมก็ไม่รู้จะเขียนถึงหนังเรื่องนี้ในแง่ไหน เพราะสิ่งที่อยู่ในหนังมันช่างแสนธรรมดา แต่กับยิ่งใหญ่เหลือเกินในความทรงจำ ?เวลาทำให้เราเติบโต แต่อาจไม่ได้ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น? บทสนทนาในท้องเรื่องช่างน่าสนใจ คล้ายมีใครสักคนมาเล่าเรื่องชีวิตให้กับคุณ ชีวิตคืออะไร หนังอาจไม่ได้ให้คำตอบมากนัก รู้แค่ว่าเรามีชีวิต ชีวิตเป็นของเรา ไม่ใช่ของใคร จงทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่า แล้วในวันหนึ่งจะมีคนมองเห็นคุณค่าในชีวิตเรา
A+
สนับสนุนให้ Richard Linklater ได้รับรางวัลออสการ์สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม
จำเรื่องราวของเมื่อวานได้ไหม ?
คงไม่ต้องมานั่งสาธยายถึงสรรพคุณ ความงามของหนังเรื่องนี้ให้เสียเวลาว่ามันวิเศษ วิโสยังไง ว่ามันมีดะไรนักหนา ทำไมต้องไปดู เพราะเชื่อว่า ใครก็ตามที่กำลังอ่านอยู่คงมีเหตุผลส่วนตัวเป็นคำตอบในใจอยู่แล้ว
แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ความมหัศจรรย์เบื้องหลังของหนังที่ผมตามอ่าน ตามเก็บมาก็มีความน่าสนใจไม่แพ้ภาพที่ปรากฏขึ้นบนจอ หนึ่งเลยที่ทุกคนรู้ดีคือ หนังเรื่องนี้ใช้เวลาในการถ่ายทำยาวนานกว่า 12 ปี ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครทำ และใครที่คิดทำคงบ้าไปแล้วแน่ๆ ลำพังแค่การทำหนังสักเรื่องออกมาก็มีเรื่องให้ต้องปวดหัวอยู่แล้ว แนวคิดเดิมของหนังคือตัวผู้กำกับ Richard Linklater มีลูกสาวและเกิดกังวลใจในอนาคตข้างหน้า ไอเดียนี้จึงค่อยๆก่อรูปร่างขึ้นมา (ซึ่งลูกสาวของเค้าก็คือพี่สาวของเมสันในเรื่อง) หนังใช้เวลาราว 12 ปี นับตั้งแต่ปี 2002 ถึงปลายปี 2013 การเขียนบทก็ไม่ได้ขีดกรอบไว้นัด แต่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะของนักแสดงหลักเป็นใหญ่ Ellar Coltrane คือคนที่ว่า การได้เห็นเหล่านักแสดงในหนัง เติบโต ไปตามกาลเวลานับว่าเป็นเรื่องที่แสนมหัศจรรย์ อีกรูปแบบหนึ่ง ทุกตัวละครในเรื่องต่างมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ และสำหรับผมมันเป็นเรื่องสนุกนะ สนุกกว่าการนั่งดูหุ่นยนต์ซัดกันอุตลุตเสียด้วยซ้ำไป
Boyhood พาคนดูย้อนกลับไปยังอดีต (รู้สึกพักหลังๆจะมีหนังแนว retro ไม่ก็พูดถึง Time ออกมามากมายเหลือเกิน ไม่รู้เป็นความบังเอิญหรือไร) จากนั้นเราก็ค่อยๆเคลื่อนผ่านกาลเวลาตามมา เราจะรู้สึกร่วมกับตัวละครอย่างแน่นอน ผ่านบทที่ถูกเขียนขึ้นมาอย่างเรียบง่าย มันต้องเชื่อมโยงถึงชีวิตคนดูบ้างไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง(แม้บริบทจะเป็นฝรั่งจ๋าก็ตามที) รวมทั้งเหตุการณ์สำคัญๆในโลกของ Boyhood ต่างก็เป็นหลักไมล์ชั้นดีให้เราหวนนึกถึงวันวานนั้นขึ้นมา การที่หนังแทรกสอดเหตุการณ์ร่วมสมัยเข้ามา ไม่รู้ว่าจงใจหรือบังเอิญ มันกลับมีนัยยะบางอย่างต่อตัวหนัง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าคิวเพื่อรอซื้อหนังสือ Harry Potter, การเลือกตั้งใหญ่ของสหรัฐ, เทคโนโลยีในท้องเรื่อง เป็นต้น ที่สำคัญไม่ต่างกันคือ Sound และ Score ที่ถูกใช้ในหนังเป็นมากกว่าการใส่เข้ามาประกอบเรื่องราว หากแต่มันคือ นาฬิกา บอกเวลาอย่างเที่ยงตรง แม้จะมีความยาวเกือบร่วมสามชั่วโมง แต่กลับไม่มีช่วงไหนที่ทำให้เรารู้สึกว่า มันเยอะเลย เช่นที่ได้บอก หนังมันดึงดูดในตัวมันเองอยู่แล้ว ใครที่เคยเสพผลงานผู้กำกับรายนี้มาแล้ว คงพอเข้าใจ signature ของแกว่ามันมีทิศทาง สไตล์ไหน
บนโลกนี้มีหนังมากมายหลายเรื่อง แต่ค่อนข้างมั่นใจว่า Boyhood มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ที่อยากให้หลายคนลองรับชม หากมีโอกาสได้รับชมในโรงใหญ่ยิ่งดี คิดดูว่ามันจะวิเศษแค่ไหน เมื่อวันเวลาผ่านไป คุณได้ไปบอกเล่ากับคนรุ่นหลังว่า ?ผมเคยซื้อตั๋วหนังเรื่อง Boyhood ดูด้วยล่ะ?
สารภาพตามตรงว่าตอนที่ดูจบ ผมก็ไม่รู้จะเขียนถึงหนังเรื่องนี้ในแง่ไหน เพราะสิ่งที่อยู่ในหนังมันช่างแสนธรรมดา แต่กับยิ่งใหญ่เหลือเกินในความทรงจำ ?เวลาทำให้เราเติบโต แต่อาจไม่ได้ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น? บทสนทนาในท้องเรื่องช่างน่าสนใจ คล้ายมีใครสักคนมาเล่าเรื่องชีวิตให้กับคุณ ชีวิตคืออะไร หนังอาจไม่ได้ให้คำตอบมากนัก รู้แค่ว่าเรามีชีวิต ชีวิตเป็นของเรา ไม่ใช่ของใคร จงทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่า แล้วในวันหนึ่งจะมีคนมองเห็นคุณค่าในชีวิตเรา
A+
สนับสนุนให้ Richard Linklater ได้รับรางวัลออสการ์สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)