วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

American History X

อึ้ง ทึ่ง เป็นความรู้สึกที่ติดอยู่ในใจผมเมื่อพูดถึงภาพยนตร์ชื่อเก๋เรื่องนี้ หน้าปกเป็นรูปเอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน ที่หลายคนติดภาพของเค้าจากนายโรคจิตในนามผู้ก่อตั้งกลุ่มไฟต์คลับ ซึ่งผมก็ไม่เถียงแต่เมื่อผมได้ดูเรื่อง American History X นี้มันลบภาพเหล่านั้นไปเสียหมด

ประเด็นในหนังเรื่องนี้ ผมลองๆหาดูในกูเกิลแล้วปรากฏว่ามีหลายกระทู้ได้แตกประเด็นไว้เป็นที่เสร็จสรรพ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีเพราะเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ส่วนตัวแล้วชอบเลยล่ะหนังเรื่องนี้ มันเต็มไปด้วยความรุนแรง แต่ในขณะเดียวกันหากคุณทน(กับเรื่องราวโหดร้าย)ไปได้จนจบเรื่องหนังไม่ได้มอบความสวยงามให้กับคุณเหมือนเลยนะ ถึงแม้ว่าเสียงของแดนนี่จะบอกให้เราผ่อนปลงกับชีวิตก็เถอะ

ที่จริงแล้วไม่ว่าจะคนขาว คนดำ คนเอเชีย เราก็ล้วนอยู่บนโลกเดียวกัน จะแบ่งแยกกันไปใย ท้ายสุดแล้วเราก็ต้องใชัชีวิตร่วมกันอยู่ดี นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องเพศนะ ที่บีบกันจัง ไม่เข้าใจเหมือนกัน ผมเองก็ในฐานะเพศที่สาม แม้จะไม่ค่อยได้รับความรู้สึกแบบนั้น(ก็ปัจจุบันเขายอมรับกันมากขึ้น)แต่ก็เจออยู่บ้าง แต่เราก็ไม่ได้ติดใจอะไร กับสายตาที่มองมา  แต่พวกคุณรู้ไหมว่าบางครั้งพวกคุณก็ทำให้เราเกลียดตัวเอง

พร่ำมาเยอะแล้ว ที่ขอชมคือผู้กำกับ Tony Kaye ที่ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้แบบถึงแก่นมาก โดยเฉพาะการเล่นภาพสี ขาวดำ ที่ไม่ได้เน้นความอาร์ตแต่มันเป็นอีกหนึ่งจุดขายเลยล่ะ เนื้อเรื่องในหนังทำให้ผมนึกถึงหนังมาเฟียยุคใหม่เรื่อง City of God แม้จะไม่ได้เหมือนกันแบบเป๊ะๆ แต่องค์รวมบางอย่างมันก็ใกล้เคียงและเรื่องหลังนี่ก็โหดพอๆกันแต่อย่างน้อยมันก็จบแบบไม่ตบหน้าคนดูล่ะหว่า ในส่วนของนักแสดง Edward Norton แม้ผมจะไม่ใช่แฟนเดนตายของพี่แก แต่ยอมรับว่าพี่แกเจ๋งมากจริงๆโดยเฉพาะฉากเปิดเรื่องนี่ อุเหม่ เจอกันตามตรอก ซอกซอยนี่วิ่งหนีเลยล่ะ รัศมีความเลวมันแผ่ซ่านจริงๆ ผิดกับช่วงท้ายเรื่องที่กลายเป็นหนุ่มน่ากอดแสนอบอุ่น ก็ไม่รู้เหมือนกันถ้าไม่ใช่ Norton แล้วใครจะเหมาะกับบทนี้ สามารถทำให้ตัวละครนี้มีชีวิตเห็นถึงพัฒนาการของตัวละคร อีกหนึ่งคน Edward Furlong เด็กรุ่นใหม่ๆ(ผมเกิดปี 1994 นะ) อาจไม่คุ้นแต่กับผมที่ยังทันยุคคนเหล็ก 2029 จำได้ขึ้นใจเลยล่ะ ตอนนั้น(หมายถึงช่วงเวลาในหนัง)กับตอนนี้ เวลาทำให้คนเปลี่ยนไปเยอะจนจำไม่ได้เลยแหะ 55 ถึงว่าล่ะในคนเหล็กสามถึงเปลี่ยนนักแสดง จอห์น คอร์เนอร์


สรุปหากคุณมองหาหนังที่โหด แต่มีสติคือไม่ระเบิดภูเขาเผากระท่อมไปเรื่อย(เช่นหนังอีตาไมเคิล เบย์) ควรค่าแก่การใช้เวลาดูแล้วล่ะก็อย่าลืมหาหนังหนักๆเรื่องนี้มาดูในวันที่แสนจะว่างเปล่านะครับ หนังเรื่องนี้จะช่วยเติมเต็มให้วันว่างๆนั้นน่าจดจำขึ้นมาอีกเยอะ





พันครั้งที่เจ็บปวด แด่เราเอง ผู้ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้

แด่เราเอง ผู้ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้



ผมเชื่อว่าเราทุกคนต่างก็มีความเครียด ไม่เว้นในทุกวัน บางวัยเครียดน้อยหน่อยก็พอยิ้มไหว แต่ในบางวันน้ำตามันเอ่อขึ้นมามองไปทางไหนก็พร่ามัวไปหมด วันนั้นคงดีหากจะมีใครสักคนเอื้อมมือมาแตะเบาๆ โอบกอดเราไว้ในอ้อมแขนที่แสนอบอุ่น แต่ไม่ต้องเสียใจหากคุณเป็นอีกคนที่อยู่เพียงตัวลำพัง  ผมเองก็เป็นอย่างหลัง



ผมเคยทำแบบทดสอบบุคลิกภาพจากหนังสือเล่มเล็กๆเล่มหนึ่ง ขอโทษที่ผมจำชื่อหนังสือนั่นไม่ได้ ที่ผมจะบอกก็คือผมถูกจัดเข้าไปในหมวดหมู่คนโรแมนติก เบอร์สี่ ซึ่งผมพบว่ามันตรงกับตัวผมมากถึง 98 เปอร์เซ็นเลยล่ะ อย่างเช่นเรื่องยุ่งยากลำบากใจของคนประเภทนี้คือ อยู่กับปัจจุบันไม่ค่อยได้ มักหลุดไปอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง รู้สึกเหมือนคนไร้ชื่อเสียง(ถึงแม้ว่าเวลาที่อยากอยู่คนเดียว ฉันจะชอบเก็บตัวเป็นคนนิรนามก็ตาม) รู้สึกซึมเศร้า ถึงจะรู้สึกว่าความโศกเศร้านิดๆหน่อยไม่ใช้สิ่งเลวร้าย มีคนมองว่าชอบใช้อารมณ์เยอะเกินไปกับเรื่องต่างๆในชีวิต เป็นต้น   ตรงกับใครบ้างล่ะที่นี่



ที่ผมจะบอกจริงๆก็คือ หากวันใดคุณล้มไปมองไปทางไหนก็ไม่มีมือใดๆให้เอื้อมไว้  หนังสือที่มีชื่อเก๋ๆว่า “เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด” จะเป็นเพื่อนแสนดีที่คอยอยู่ข้างๆปลอบโยนคุณอย่างแผ่วเบา และผมขอแนะนำเพื่อนอีกเล่มหนึ่งเขามาทีหลังเล่มแรก เขามีชื่อว่า “พันครั้งที่หวั่นไหวกว่าจะเป็นผู้ใหญ่”เล่มนี้แนวคิด บทความอาจจะโตไปหน่อยสำหรับวัยรุ่น(ผมเองก็ยังไม่ถึงวัยนั้น เลยออกจะเกินตัวไปหน่อยสำหรับเล่มหลังนี้)สองเล่มนี้ผมได้มานานแล้วครับราวๆสองสามเดือนก่อน แต่พึ่งนึกได้ว่าจะลงรีวิวแนะนำ เพราะทั้งสองเล่มนี้มันโดนมากครับ โดยเฉพาะเล่มแรกที่ผมว่ามันช่วยชีวิตผมได้ดีจริงๆ บทความที่ผมมักอ่านเวลาท้อ(ในเวลานี้)คือเด็กซิ่ว ไม่มีใครเข้าใจผมได้ดีเท่านี้แล้วล่ะ  ต้องขอบคุณผู้เขียน คุณคิม รันโด ที่ทำให้ทุกอย่างบนโลกนี้มีสีสันขึ้น





 เวลาใดที่ผมเครียดๆ ท้อแท้ หมดหวัง ไร้กำลังใจ ไม่ว่าจะโทรหาพ่อแม่ เพื่อนคนไหนก็ไม่มีใครเข้าใจหรือปลอบโยนได้จริงๆ   ผมมักจะอยู่กับหนังสือให้กำลังใจสักเล่ม เพลงเพราะๆสักเพลง หนังดีๆสักเรื่อง เพราะในบางครั้งกำลังใจของเรา  เราก็ต้องสร้างมันด้วยตัวเอง ลองให้หนังสือดีๆสองเล่มนี้เป็นตัวช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นในวันฟ้าหม่นดูครับ บางทีรอยยิ้มบางๆอาจปรากฏขึ้นบนแก้มแดงๆของคุณก็เป็นได้


โชคดีวันฝนตกครับ